Home » 2026 Lotus Emira ปรับสเป็คอีกครั้งพร้อมเสริมรุ่นย่อยใหม่ ในราคาจับต้องง่ายขึ้น
รถใหม่ รถใหม่ต่างประเทศ

2026 Lotus Emira ปรับสเป็คอีกครั้งพร้อมเสริมรุ่นย่อยใหม่ ในราคาจับต้องง่ายขึ้น

ผ่านไปไม่ถึง 1 ปี หลังการเปิดตัว 2025 Lotus Emira Turbo SE ล่าสุดตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ตัวรถรุ่นขุมกำลัง V6 จะมีร่าง SE กับเข้าบ้าง และในขณะเดียวกันก็ยังมีการทำรุ่น Turbo ใหม่ ให้ลูกค้าจับต้องมันได้ง่ายขึ้นด้วย

2026 Lotus Emira มาพร้อมกับการปรับโฉมใหม่ โดยเน้นการเพิ่มสมรรถนะด้านการควบคุม และการขับขี่ให้มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น โดยเริ่มจากการปรับปรุงระบบระบายความร้อน ด้วยการปรับเส้นทางการเดินแนวท่อน้ำหล่อเย็น และท่อเดินน้ำมันเครื่องใหม่ ให้ระบบสามารถไหล่เวียนของเหลวไปสู่แผงหม้อน้ำ และแผงออยคูลเลอร์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งในขณะเดียวกันยังช่วยลดน้ำหนักส่วนเกินได้อีก

ตามด้วยการเปลี่ยนวาล์วเทอร์โมสตรัทใหม่ ให้เปิดการทำงานที่อุณหภูมิสูงขึ้น จาก 65 องศา เซลเซียส เป็น 75 องศาเซลเซียส ซึ่งอาจดีกว่าสำหรับการใช้งานในเมืองหนาว และตัวระบบปรับอากาศ ยังถูกปรับเซ็ทการทำงานใหม่ เพื่อให้มันสามารถคุมอุณหภูมิภายในห้องโดยสารได้สเถียรยิ่งขึ้นโดยเฉพาะกับการคุมอุณหภูมิสูงๆเพื่อไม่ให้ห้องโดยสารเย็นเกินไปในหน้าหนาวเช่นกัน

โดยในขณะที่ตัวรถรุ่น Emira V6 SE ยังคงใช้เครื่องยนต์ V6 3.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 406 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 430 นิวัตเนมตร ดังเดิม และยังคงทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด หรือเกียร์ธรรมดา 6 สปีดดังเดิม แค่มีการเสริมความแข็งแรงจุดยึดแท่นเกียร์ใหม่ เพื่อเพิ่มความกระชับในการต่อเกียร์ให้มากขึ้น

ระบบกันสะเทือนไฟฟ้าของมัน ก็ได้ถูกปรับเซ็ทใหม่ โดยเฉพาะในเรื่องของความหนืดการยืดตัวและยุบตัว ให้เหมาะสมกับโหมดการขับขี่ที่เปลี่ยนไป และยังมีการปรับเซ็ทมุมล้อใหม่ ให้มีความเฉียบคมมากขึ้น แต่ยังคงความสะดวกสบายในการใช้งานเอาไว้อยู่

นอกนั้นตัวรถ จะมาพร้อมกับทางเลือกเฉดสีพื้นฐานคือสี Zinc Grey พร้อมชุดล้ออัลลอยด์ฟอร์จ ขนาด 20 นิ้ว และคาลิปเปอร์เบรกสีแดง และภายในห้องโดยสารได้เบาะนั่งหุ้มหนังอัลคันทาร่า

ซึ่งหากลูกค้าไม่พอใจ ก็สามารถเลือกเฉดสีภายนอกอื่นได้อีก 15 แบบ, สีเบรกอีก 4 เฉด, ลายล้ออีก 8 รายการ, และโทนสีภายในห้องโดยสารอีก 8 ธีม ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดคืออพชันที่ต้องเสียเงินเพิ่ม จากราคาเดิมที่ตั้งต้น 96,500 ปอนด์ หรือราวๆ 4.25 ล้านบาท ในประเทศอังกฤษ

ส่วนอีกไลน์อัพ คือทางเลือกใหม่ที่เพิ่มเข้ามาเพื่อให้ลูกค้าสามารถจับต้องได้ง่ายขึ้น นั่นคือตัวรถรุ่น Emira Turbo ซึ่งถูกใส่เข้ามาแทน Emira Turbo รุ่นดั้งเดิม ที่ถูกขยับไปเป็น Turbo SE (ว่าง่ายๆคือ เป็นการเอารุ่น Turbo ธรรมดา กลับมาอีกรอบนั่นแหล่ะ) พร้อมสนนราคาวางจำหน่ายที่ 79,500 ปอนด์ หรือราวๆ 3.5 ล้านบาท ในประเทศอังกฤษ

โดยตัวรถรุ่นนี้ จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง 2.0 ลิตร เทอร์โบ ของ Mercedes-AMG แบบเดียวกับรุ่น Turbo SE แต่จะยังคงถูกปรับจูนให้มีกำลังสูงสุดเพียง 365 PS และแรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ซึ่งเป็นตัวเลขเดียวกันกับรุ่น First Batch ที่เปิดตัวในตอนแรกสุด

แต่จะทำงานร่วมกับชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ที่ถูกปรับปรุงการทำงาน และปรับเปลี่ยนแท่นยึดใหม่ เพื่อเพิ่มความเร็วในการต่อเกียร์ให้มีความกระชับฉับไว และต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น ช่วยให้การเรียกอัตราเร่งมีความนุ่มนวลมากกว่าเดิม ซึ่งจะส่งผลในแง่ดีทั้งขณะใช้งานรถบนถนนสาธารณะ และในสนามแข่ง ช่วยให้รถสามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลา 4.4 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 275 กิโลเมตร/ชั่วโมง

และแม้จะเป็นตัวรถรุ่นเริ่มต้น แต่มันก็มาพร้อมกับเบาะนั่งปรับไฟฟ้า 12 ตำแหน่ง, ชุดหน้าจอมาตรวัดขนาด 10.25 นิ้ว และจออินโฟเทนเมนท์ขนาด 12.3 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านทั้งระบบ Android Auto และ Apple CarPlay พร้อมทั้งระบบความปลอดภัยขั้นสูงแบบเท่าที่จำเป็น เช่น ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ, ระบบตรวจจับและแจ้งเตือนสัญญาณการจราจร, ระบบตรวจจับวัตถุมุมอับ, และระบบตรวจจับความเหนื่อยล้าของผู้ขับ เป็นต้น

ท้ายสุดตัวรถจะมี 2 เฉดสีให้เลือก คือ สี EOS Green และ Purple Haze Metallic โดยยังมีทางเลือกแต่งลวดลาย Racing Line เข้าไปอีก ทั้งการคาดสติ๊กเกอร์บนตัวถัง และตัวครอบกระจกมองข้าง, ล้อรถสีดำเงา, และแบดจ์รถแบบเฉพาะตัว กับการตกแต่งภายในอีกนิดหน่อยเพียงเท่านั้น

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.