BYD Han คืออีกรถยนต์อีกหนึ่งรุ่นที่ชาวไทยให้ความสนใจในฐานะพี่ใหญ่ขั้นกว่าของ BYD Seal และล่าสุดมันก็ได้รับการปรับโฉมใหม่สำหรับทำขายต่อในปี 2025 แล้วเป็นที่เรียบร้อย
2025 BYD Han ยังคงวางจำหน่ายด้วย 2 รูปแบบขุมกำลังอย่างระบบ PHEV DM-i กับ ระบบขุมกำลัง BEV เช่นเดิม แต่ในคราวนี้ทางแบรนด์ได้มีการปรับภาพลักษณ์ของตัวรถปลั๊ก-อิน ให้มีหน้าตาใกล้เคียงกับรุ่นพลังงานไฟฟ้า 100% มากขึ้น และมีการเพิ่มเฉดสี Fashion Gray กับ Black Sport เข้าไปให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ
นอกจากนี้ เรายังจะพบว่าตัวรถการปรับเปลี่ยนบริเวณหลังคาใหม่เล็กน้อย ด้วยการติดตั้ง LiDar Sensor เข้าไปทางด้านบน ซึ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ามันจะมาพร้อมกับระบบ ADAS ที่ฉลาดล้ำยิ่งขึ้น นั่นคือระบบ BYD DiPilot 300 ซึ่งมีการอัพเกรดให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
โดยนอกจากตัวเซนเซอร์ตรวจจับวัตถุด้วยเลเซอร์ข้างต้นแล้ว มันยังมีเซนเซอร์อื่นๆรอบคันรวมกว่า 31 จุด ซึ่งมีชิพ Nvidia Orin-X เป็นตัวคุมและประมวลผลระบบ AI ในตัวซอฟท์แวร์สำหรับคำนวนตำแหน่งวัตถุรอบคันโดยละเอียดอีกที
ภายในห้องโดยสารของตัวรถมาพร้อมกับหน้าจออินโฟเทนเมนท์ใหม่ ขนาด 15.6 นิ้วพร้อมการอัพเกรดความคมชัดในการแสดงผลให้มากขึ้น, ปรับปรุงวัสดุเบาะนั่งเป็นหนังแนปป้าแบบใหม่ พร้อมกันนี้ยังตกแต่งคอนโซลต่างๆรอบคันด้วยชิ้นงานอลูมิเนียมและไม้เพื่อเสริมความพรีเมียม, โดยที่ตัวเบาะนั่งคู่หน้ามาพร้อมกับลูกเล่นระบบนวด 10 ตำแหน่ง และระบบระบายอากาศในตัว, พร้อมกันนี้ยังเสริมอรรถรสในการใช้งานความบันเทิงด้วยลำโพง Dynaudio จำนวน 12 จุด กำลังรวม 775 วัตต์เข้าไปอีก
หากยังสะดวกสบายไม่พอ ตัวรถยังได้รับการปรับเซ็ทช่วงล่างหลังใหม่ ด้วยระบบกลไกแบบ Five Link ทางด้านหลัง พร้อมระบบกันสะเทือนแบบแปรผันค่าความหนืดในการยืดยุบได้เพื่อความนุ่มนวลในการใช้งานสูงสุดอีก (คาดว่าเทคโนโลยีโช้กอัพที่ว่านี้ จะเป็นเทคโนโลยีโช้กอัพแบบเดียวกับใน BYD Seal ซึ่งไม่ใช่ระบบปรับค่าด้วยไฟฟ้า แต่เป็นระบบเปลี่ยนค่าด้วยกลไกที่จะเปลี่ยนค่าความหนืดตามแรงสะเทือนที่เกิดขึ้น)
ด้านขุมกำลังของตัวรถ หากเป็นรุ่นขุมกำลังปลั๊ก-อิน ก็จะมาพร้อมกับขุมกำลัง DM-i ใหม่ล่าสุด เจเนอเรชันที่ 5 ซึ่งอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้า กับเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังรวมกันสูงสุดที่ 422 PS สามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลา 6.9 วินาที
โดยที่ระยะทางในการวิ่งต่อชาร์จด้วยโหมดการขับเคลื่อนโดยพลังงานไฟฟ้าล้วน จะอยู่ที่ 125 กิโลเมตร และหากเป็นการวิ่งด้วยพลังงานรวมจากเครื่องยนต์ด้วย ก็จะทำให้รถสามารถวิ่งได้ไกลสุดราว 1,350 กิโลเมตร ต่อน้ำมันเต็มถังหนึ่งถังและพลังงานไฟชาร์จเต็มประจุแบตฯ
ส่วนตัวรถรุ่นขุมกำลังพลังงานไฟฟ้า 100% ก็จะมาพร้อมกับเทคโนโลยี BYD Blade Battery ใหม่ซึ่งใช้สถาปัตยกรรมการจ่ายไฟแบบ 800 Volt แทนของเดิมที่เป็นแบบ 400 Volt ทำให้มันสามารถรองรับความเร็วในการชาร์จกระแสไฟกลับที่รวดเร็วขึ้น โดยสามารถชาร์จไฟสำหรับการวิ่งในระยะทาง 160 กิโลเมตร ได้ภายในเวลาเพียง 10 นาที และมีขนาดแบตฯให้เลือก 3 ระดับ แบ่งตามระดับระยะทางในการวิ่งสูงสุดต่อชาร์จ บนมาตรฐาน CLTC คือ 506 กิโลเมตร, 605 กิโลเมตร, และ 705 กิโลเมตร
ด้านขุมกำลังตัวรถ มีเพียงแบบมอเตอร์เดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้า แต่จะแตกย่อยออกเป็น 3 ระดับพลัง ตั้งแต่ 204 PS, 228 PS, และ 245 PS เพื่อให้สัมพันธ์กับน้ำหนักแบตเตอรี่ที่มากขึ้นในแต่ละรุ่นย่อย และทำให้ทุกรุ่นมีความสามารถในการเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในระยะเวลาที่เท่ากันทั้งหมด นั่นคือ ภายในระยะเวลา 7.9 วินาที
ที่น่าสนใจไม่แพ้รายละเอียดการอัพเกรดยกใหญ่ ก็คือการที่ตัวรถดันมีราคาวางจำหน่ายถูกลงกว่าเดิมเฉลี่ยราวๆ 20,000 บาท โดยในฝั่งรุ่นขุมกำลัง PHEV จะมีตัวเลขราคาวางจำหน่ายระหว่าง 165,800 – 225,800 หยวน หรือราวๆ 784,000 – 1,067,000 บาท ขณะที่รุ่นขุมกำลังไฟฟ้า 100% ก็จะสนนราคาวางจำหน่ายที่ 179,800 – 235,800 หยวน หรือราวๆ 850,000 – 1,115,000 บาท เท่านั้น