หลังการปรากฏตัวด้วยร่างโปรโตไทป์ หรือ ร่างทดสอบ เมื่อปลายปีก่อน ล่าสุด 2024 Honda City Hatchback โฉมปรับใหม่ Minorchange ก็ได้ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วในไทย ด้วยราคาเริ่มต้น 599,000 บาท เท่าเดิม แต่รุ่นเสริมพลังไฮบริดกลับมีราคาถูกลง !
2024 Honda City Hatchback แม้จะเป็นรุ่นปรับโฉมในระดับ Minorchange แต่มันก็มาพร้อมกับการปรับเปลี่ยนรายละเอียดตัวรถใหม่ในหลายๆด้าน เริ่มจากงานออกแบบกันชนหน้า-หลังใหม่ที่ไม่ใช่แค่เปลี่ยนไปจากเดิมให้ดูสปอร์ตด้วยจงอยยื่นแหลมออกมาทางด้านหน้า และสเกิร์ตท้ายที่ดูยื่นโหนกออกมาจากแนวกันชนท้ายมากกว่าเดิมเท่านั้น
แต่ในฝั่งตัว RS จะได้รับการปรับรายละเอียดชิ้นส่วนตกแต่งภายนอกรอบคันใหม่ ให้แตกต่างจากตัวรถรุ่น S+ และ SV มากขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นจงอยช่องดักลมที่ชายล่างกันชนหน้าซึ่งดูดุดันกว่า, ชิ้นพลาสติกกรอบโคมไฟตัดหมอบที่ใหญ่โตกว่า, ชายล่างกันชนท้ายมาพร้อมกับชิ้นพลาสติกดำด้าน ปั๊มรูปทรงให้มีครีบดิฟฟิวเซอร์ยื่นออกมาชัดเจน
และเช่นเดียวกับตัวรถรุ่นซีดาน ก็คือการมาพร้อมกับชุดสเกิร์ตข้าง ที่ช่วยให้รถดูเตี้ยลงกว่าเดิมอีกเล็กน้อย แต่ได้ความสปอร์ตขึ้นเยอะ ซึ่งหากเท่านั้นยังไม่พอ ตัวรถรุ่นใหม่นี้ ยังมีออพชันหลังคาดำ+สปอยเลอร์หลังสีดำ ให้ลูกค้าได้เสริมความดุดันเข้าไปอีก แต่จะมีให้เฉพาะรุ่นที่ใช้ขุมกำลังไฮบริด e:HEV เท่านั้น
ขณะที่ชุดล้อของตัวรถทุกรุ่นย่อย ก็มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดก้านใหม่เล็กน้อย โดยเฉพาะในรุ่น RS ที่ไม่ใช่แค่เปลี่ยนลายก้านล้อ แต่ยังเปลี่ยนไปใช้ยางขนาด 185/60 R16 ซึ่งมีแก้มสูงขึ้นกว่าเดิมจากโฉมก่อนหน้าด้วย
ภายในห้องโดยสาร ชิ้นส่วนตกแต่งหลักๆยังคงเดิม ทั้งตัวทรงเบาะนั่ง, ชุดพวงมาลัย, คอนโซลหน้า, คอนโซลกลาง, และแผงแอร์ หรือแม้กระทั่งหน้าจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ ที่ยังคงมีขนาดเท่าเดิมคือ ขนาด 8 นิ้ว
และสำหรับตัวรถรุ่น S+ ซึ่งเป็นตัวล่างสุด ก็จะได้รับการติดตั้งชุดจอมาตรวัดแบบใหม่ พร้อมจอแสดงผลระบบ MID แบบ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว คั่นกลาง เหมือนกับรุ่นกลาง SV และรุ่นบนตัว RS
ขณะที่สองรุ่นหลังที่ว่า รวมถึงรุ่นที่ใช้ขุมกำลัง e:HEV ซึ่งตอนนี้มีทั้ง SV e:HEV และ RS e:HEV ชุดหน้าจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 8 นิ้ว ก็จะรองรับการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านระบบ Apple CarPlay แบบไร้สายแล้วเป็นที่เรียบร้อย
และท้ายสุดคือ เบาะนั่งของตัวรถรุ่น RS ทั้ง RS ที่ใช้เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร เทอร์โบ และรุ่นขุมกำลัง e:HEV ต่างก็จะใช้วัสดุหุ้มใหม่ จากหนังผสมผ้าซูเอด เป็นหนังกับหนังสังเคราะห์ทั้งหมดแล้วเป็นที่เรียบร้อย เช่นเดียวกับการเพิ่มช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหลังแบบ Type-C 2 ตำแหน่ง เพื่อความสะดวกสบายของผู้โดยสารตอนหลัง
ในส่วนระบบความปลอดภัย คราวนี้ทาง Honda ก็ได้จัดการนำเอาระบบ Honda Sensing มาให้ในตัวรถทุกรุ่นย่อยแล้ว ซึ่งฟังก์ชันหลักๆ ก็จะประกอบไปด้วย
- ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
- ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC) (รุ่น S+, SV และ RS)
พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (with Low-Speed Follow: with LSF)
(รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS) - ใหม่! ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)
เสริมด้วยระบบความปลอดภัยและระบบอำนวยความสะดวกสบายอื่นๆอีกหลายรายการ ได้แก่
- ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)(รุ่น e:HEV RS)
- กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-Angle Rearview Camera) (รุ่น SV, RS, e:HEV SV
และ e:HEV RS) ที่มีการพัฒนาคุณภาพของกล้องให้มีความละเอียดสูงขึ้น - ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)
- ระบบ Auto Brake Hold (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)
- ถุงลมคู่หน้า
- ถุงลมด้านข้างคู่หน้า
- ม่านถุงลมด้านข้าง (รุ่น RS และ e:HEV RS)
- ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติ (Auto Door Lock by Speed)
- ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock)
- ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start)
- ระบบปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลาพร้อมระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)
- ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า
- ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก (EBD)
- เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติ
- เข็มขัดนิรภัยด้านหน้าและหลังแบบ 3 จุด 2 ตำแหน่ง
- ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer พร้อมระบบสัญญาณกันขโมย
- ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder)
- จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX & Child Anchor)
- ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA)
- ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA)
- สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS)
ด้านขุมกำลังตัวรถจะยังคงมีให้เลือก 2 แนวทางดังเดิม ได้แก่
- รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบเรียง VTEC Turbo ขนาด 988cc กำลังสูงสุด 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 173 นิวตันเมตร ที่ 2,000 – 4,500 รอบ/นาที ส่งกำลังไปยังชุดล้อคู่หน้าผ่านระบบเกียร์ CVT พร้อมเคลมอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยที่ 23.3 กิโลเมตร/ลิตร
- รุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด e:HEV แบบผสมผสานการทำงานกันระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 109 PS ที่ 3,500 – 8,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 253 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,000 รอบ/นาที เข้ากับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง i-VTEC ขนาด 1,498cc ส่งกำลังไปยังชุดล้อคู่หน้าผ่านระบบเกียร์ e-CVT พร้อมเคลมอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยที่ 27.8 กิโลเมตร/ลิตร
นอกนั้นรายละเอียดชิ้นส่วนโครงสร้างต่างๆของตัวรถยังคงเหมือนเดิม ทั้ง ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังทอร์ชันบีม ระบบเบรกหน้าดิสก์ หลังดรัม ในรุ่นเทอร์โบ และ ดิสก์เบรกทั้งด้านหน้ากับด้านหลังในรุ่น e:HEV กับชุดล้อขนาด 15 นิ้ว รัดด้วยยางหน้ากว้าง 185 มิลลิเมตร ในรุ่น S+, SV, SV e:HEV และ ชุดล้ออัลลอยด์ขนาด 16 นิ้ว รัดด้วยยางหน้ากว้าง 185 มิลลิเมตรเท่ากัน ในรุ่น RS กับ RS e:HEV
โดยราคาสำหรับการจำหน่ายอย่างเป็นทางการของตัวรถ 2024 Honda City Hatchback ถูกสนนตัวเลขไว้ตามรุ่นย่อยดังนี้
- S+ : เริ่มต้น 599,000 บาท (เท่าเดิม)
- SV : เริ่มต้น 679,000 บาท (เท่าเดิม)
- RS : เริ่มต้น 749,000 บาท (เท่าเดิม)
- SV e:HEV : เริ่มต้น 729,000 บาท (ใหม่)
- RS e:HEV : เริ่มต้น 799,000 บาท (ถูกลง 50,000 บาท)
ส่วนสีภายนอก ก็จะมีให้เลือกทั้งหมด 7 สี ได้แก่
- สีน้ำเงินบริลเลียนท์ สปอร์ตตี้ (เมทัลลิก) (Brilliant Sporty Blue Metallic) ที่มาพร้อมหลังคาสีดำ (ทูโทน) (Two-tone) ใหม่! (เฉพาะรุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)
- สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) (Ignite Red Metallic) (เฉพาะรุ่น RS และ e:HEV RS)
- สีขาวแพลทินัม (มุก) (Platinum White Pearl) (เฉพาะรุ่น SV, RS, e:HEV SV, และ e:HEV RS)
- สีดำคริสตัล (มุก) (Crystal Black Pearl)
- สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก) (Meteoroid Gray Metallic)
- สีเทาโซนิค (มุก) (Sonic Gray Pearl)
- สีขาวทาฟเฟต้า (Taffeta White) (เฉพาะรุ่น S+)