รถยนต์ไฟฟ้า สำหรับคนไทย มันถูกตีภาพลักษณ์ เป็นยานยนต์ยุคใหม่แห่งความประหยัด เหมือนยุคอีโค่คาร์ รถเล็กประหยัดน้ำมัน เมื่อ 10 ปีก่อน
ความเฟื่องฟูของรถยนต์ไฟฟ้าทำให้คนจำนวนมากสนใจ วิ่งเข้าใส่ แถมมันยังมาพร้อมความทันสมัยและสมรรถนะเหนือชั้นกว่ารถสันดาป
แต่ค่าใช้จ่ายในรถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้มีแค่ค่าพลังงาน “ค่าเบี้ยประกันภัย” เป็นอีกสิ่งที่มีเสียงลือมานานว่า มันอาจกลืนกินความประหยัดที่คุณสู้อุตส่าห์มาทั้งปี
ต่อ ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า ปีที่ 3 MG 4
3 ปี ของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ด้วยประกันภัยที่แถมมากับตัวรถ
ปีนี้เป็นปีแรกที่ผมจะต้องต่อ ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า MG4 X รุ่นประกอบจีน รถของคุณภรรยาที่บ้าน สิ้นสุดระยะฮันนีมูน ของรถยนต์ไฟฟ้าคันเก่ง ที่พาเราเซฟเงินในกระเป๋ามานาน

ผมแจ้งตัวแทนประกันที่ใช้กันประจำ พอรับใบเสนอราคามาแทบลมจับ ราคาประกันภัยปีต่อไป เอาเรื่องมีตั้งแต่ 29,000-33,000 บาท ซ่อมห้าง สำหรับรถอายุปีที่ 3 ขึ้นปีที่ 4
เมื่อหารค่าใช้จ่ายออกมาตกเฉลี่ยอยู่ที่ เดือนละ 2,400-2,700 บาท เป็นค่าใช้จ่ายแฝงที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
นั่นเพราะ ปัจจุบันรถยนต์ใหม่ทุกรุ่นมาพร้อมโปรโมชั่นฟรีประกันภัยชั้น 1 ปีแรก บางแบรนด์ให้สิทธิ์ยาวจน 2-3 ปี จะมารู้ตัวอีกที คือเมื่อต้องต่อประกันเอง
ประกันแพง แต่สงครามราคากัดกิน
ประกันแพงจ่ายได้ แต่ที่ช้ำใจหนักไปกว่านั้น คือทุนประกันที่ทางบริษัทประกันภัย ตั้งเป็นสิทธิประโยชน์หลัก ในความรับผิดชอบตัวรถ

ถูกสงครามราคาเล่นงานจนราคาตัวรถมีทุนประกันต่ำมากเพียง 460,000-520,000 บาท ไม่มากกว่านี้
ถ้าเทียบราคาจำหน่าย MG 4 X ตอนเปิดตัวจำหน่าย เมื่อ 3 ปีที่แล้ว มีราคาอยู่ที่ 969,000 บาท ถ้านับตามนี้ก็เหลือมูลค่าราวๆ 50% เท่านั้น
แต่ถ้านับราคาก่อนเงินสนับสนุนของภาครัฐตามโครงการ EV 3.0 อยู่ที่ 1.2 ล้านบาทโดยประมาณ เท่ากับมูลค่าตัวรถที่ถูกประเมินไว้ต่ำลงเกินครึ่งของมูลค่าตั้งต้น ทั้งที่ไม่ใช่รถเก่าเกิน 5 ปี
ทำให้กรณีเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง ทุนประกันก็ที่ได้มาก็ไม่สามารถนำไปหักลบกลบหนี้ได้ ส่อแววว่า ต้องใช้หนี้ส่วนที่เหลือต่อ ทั้งที่การทำประกันภัยควรจะคลอบคลุมทั้งหมด กลายเป็น PainPoint ของรถยนต์ไฟฟ้า
ยิ่งใครดาวน์น้อยผ่อนนาน ยอดยังเหลือบาน จะเป็นปัญหาใหญ่แน่นอน ถ้าเกิดอุบติเหตุจนรถเสียหายทั้งคัน
ส่วนผมดาวน์ไป 20% ตอนนี้ยอดหนี้เหลือราวๆ 450,000 บาท เกิดอะไรขึ้นพอจะยังหาทางหนีทีไล่ได้บ้าง
นี่คือ ผลกระทบจากสงครามราคา ที่บางคนบอกผู้บริโภคได้ประโยชน์ รวมถึงรุ่นรถที่เปลี่ยนเร็วทำราคาถูกลงเรื่อยๆ โดยไม่ได้สนใจว่าลูกค้าเก่าจะบาดเจ็บเพียงใด
Co-Pay แบตเตอร์รี่ เรื่องนี้ต้องเลือก
ไม่เพียงเท่านี้ผมเอาใบเสนอราคาเบี้ยประกันมาดูชัดๆ ยังมีอีกเรื่องน่ากังวลใจ
ความเสี่ยงที่สุดของรถยนต์ไฟฟ้าในยามเกิดอุบัติเหตุ คือมีโอกาสที่แบตเตอร์รี่ขับเคลื่อน จะเสียหายหนักจนต้องเปลี่ยนลูก
ปัจจุบัน ระเบียบคปภ. ออกมาตรการให้บริษัทประกันภัยรับผิดชอบแบตเตอร์รี่ขับเคลื่อน (traction Battery) เพียงบางส่วน ในกรณีแบตเตอร์รี่ได้รับความเสียหายจนต้องเปลี่ยนลูกใหม่ โดยความรับผิดชอบจะลดหลั่นไปตามอายุของตัวรถ (ลดสูงสุด 50% ในปีที่ 5 และต่อเนื่อง)
ข้อเสนอของแต่ละบริษัทแตกต่างกัน เริ่มมีทางเลือกรับประกันแบตเตอร์รี่แบบจ่ายเต็ม 100% แต่มีค่าเบี้ยสูง ทุนประกันต่ำ หรือเลือกทุนสูง แต่รับผิดชอบแบตเตอร์รี่ตามนโยบายคปภ.
ซ่อมอู่ยังไม่มี ซ่อมห้างสถานเดียว
ข้อสำคัญอีกอย่าง เรายังไม่สามารถเลือกประกันแบบซ่อมอู่ ที่มีค่าเบี้ยถูกกว่าได้ เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าเป็นยานยต์เทคโนโลยีใหม่ ต้องซ่อมโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

แม้ว่าปัจจุบันจะเริ่มมีอู่ซ่อมรถยนต์ไฟฟ้าเกิดขึ้นมาบ้าง แต่อู่ที่เชี่ยวชาญในการซ่อมจริงๆ มีจำนวนไม่มากและการซ่อมที่ศูนย์บริการยังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ในการทำให้รถกลับมาดีดังเดิมในวันนี้
เบี้ยประกันภัยจึงเป็นเบี้ยแบบซ่อมห้าง ดีในแง่คุณภาพการซ่อม ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญในศูนย์บริการ แต่คิดหนักตอนจ่ายค่าเบี้ยประกันภัย นี่แหละครับ
แล้วผมเลือกแบบไหน
มาถึงตรงนี้ผมเลือกของบริษัทไหนแล้วตัดสินใจเลือก อย่างไร เผื่อเป็นแนวทางให้ผู้อ่าน
ผมเลือกบริษัทที่ชื่อเหมือนเมืองหลวงของประเทศไทย เขาเสนอทุนประกันสูง 520,000 บาท และ Co-Pay ค่าแบตเตอร์รี่ที่ 80%
สาเหตุที่เลือกเจ้านี้ เพราะพฤติกรรมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ของเราไม่ได้ขับออกต่างจังหวัดขับเดินทางไกลๆ เดินทางเต็มที่ก็หัวหิน-พัทยา
ผมเลือกเอาทุนประกันสูง เพื่ออยากรักษามูลค่ารถในปีถัดไป ซึ่งมันถูกดันต่ำลงมามากเกินไป จากสงครามราคา แม้ว่าจะต้องเสี่ยงกับแบตเตอร์รี่ บ้าง
ราคาที่ผมต้องจ่าย 29,907 บาท ในปีหน้า มันไม่ได้ถูกที่สุดแต่สมเหตุสมผล กับการใช้รถที่สุดของผม
หากต้องพิจารณาประกันภัยสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ผมขอแนะนำให้ดูที่ ทุนประกันภัยกับ ความรับผิดชอบแบตเตอร์รี่เป็นสองเรื่องสำคัญที่ควรนำมาพิจารณา
ส่วนเรื่องความน่าเชื่อถือของบริษัท ไม่ค่อยเป็นปัญหา เพราะเป็นการซ่อมห้าง
สำคัญสุดลองไต่ถามไปยังศูนย์บริการ ที่คาดว่าจะต้องเข้าไปใช้บริการว่าประกันเจ้าที่คุณจะทำเขารับหรือไม่ จะได้ไม่เสียที บางครั้งเบี้ยถูก แต่หาศูนย์รับงานน้อยมากก็มี
บทสรุป

รถยนต์ไฟฟ้าอาจช่วยคุณประหยัดพลังงาน แต่ไม่ได้ประหยัดค่าเบี้ยประกันภัย นั่นคือสิ่งที่อาจยังไม่มีใครเคยบอกคุณก่อนคิดจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้
จนกลายเป็น ค่าพลังงานที่ประหยัด สุดท้ายมาโดนค่าประกันภัยแสนแพง …เหมือนสุภาษิตไทยว่า “หนีเสือปะจระเข้”
รถยนต์ไฟฟ้าประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางจริง , แต่ค่าประกันภัยในปีต่อๆ มาค่อนข้างแพง ,เบี้ยแพงแต่ทุนประกันเหลือน้อย และยังต้องเสี่ยงกับการรับผิดชอบแบตเตอร์รี่ด้วยตัวเอง
นี่ผมยังไม่นับค่ายางและจิปาถะในการบำรุงรักษาตัวรถบางรายการ เช่นเมื่อต้องเจอรายการเปลี่ยนชุดใหญ่ระยะ 80,000 ก.ม. ยางที่อาจสึกหรอเร็วกว่ารถปกติ
เผลอทั้งหมดที่ประหยัดมาไม่เหลือให้คุณได้ใช้ชีวิตสักบาท แค่เรารู้สึกว่าไม่ตกเป็นทาสบริษัทน้ำมัน
แต่คุณชนะศึกหนึ่งแต่พ่ายอีกศึกหนึ่ง เราสมควรจะเรียกมันว่า ชัยชนะจริงๆหรือเปล่า ล่ะครับ