ในวันที่รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นเทรนด์ใหม่มาแรง ผู้คนเริ่มหันมาเสียบปลั้กชาร์จไฟฟ้ากับรถคู่ใจ แทนการเติมน้ำมัน
เทคโนโลยีล้ำสมัย อย่างก้าวกระโดดอาจไวเกินไป จนผู้ใช้จำนวนมาก หลงลืมสิ่งสำคัญของการใช้ของสาธารณะด้วยกัน อย่าง “มารยาท” และ “จิตสำนึกที่ดี” ในการใช้และอยู่ร่วมกันในสังคม
ไม่นานมานี้ในคาร์คลับ รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นหนึ่งมีการนำประเด็น รถคันหนึ่งจอดชาร์จแช่ ณ สถานีบริการแห่งหนึ่งในพื้นที่ชะอำ
เมื่อผู้ใช้บริการถัดมา เพิ่งจะทำการจองหัวชาร์จเข้ามา ระบบทำการตัดการชาร์จรถคันหน้า ซึ่งปรากฏว่า ระบบรถปลดล็อกหัวชาร์จเอง ทำให้ผู้ใช้คนต่อมา ซึ่งเข้ามารับบริการกลัวว่าตัวเองจะเสียสิทธิในการชาร์จ จึงกระทำการดึงหัวชาร์จ ออกจากตัวรถคันก่อนหน้าด้วยตัวเองโดยพละการ
แล้วนำมาโพสอ้างความชอบธรรมกับตัวเอง ว่า ตัวเองมีสิทธิที่จะดำเนินการแบบนี้ จนในภายหลังเจ้าของรถคันดังกล่าวโพสชี้แจงผ่านเฟสส่วนตัว ว่า เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ และไม่มีการประสานงานมาก่อนหน้า จากทางผู้ให้บริการ
น่าแปลกใจที่สุด คือหลังจากโพสนี้ออกมา กลุ่มผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าต่างแสดงท่าที “เห็นด้วย” ทั้งที่อาจเป็นเรื่องไม่สมควรทำ และ อาจเข้าใจผิดว่า “ตัวเองทำถูก” ทั้งที่กำลังทำผิดร้ายแรงและผิดกฏหมาย ถึงขั้นสมีสิทธิติดคุกได้เลย!!
แล้วที่สำคัญ ความคิดแบบนี้กำลังเป็นเชื้อโรคทางความคิดชี้นำคนในสังคมให้ทำตาม แล้วถูกส่งต่อความเข้าใจผิด ผ่านสื่อโซเชี่ยลแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
เรื่องเล็ก ที่คนมองว่าไม่ผิด
ผมพยายาม นั่งไล่อ่าน ความคิดเห็นของหลายคนในโพสนั้น เพื่อสำรวจชุดความคิดว่า ทำไม คนใช้รถยนต์ไฟฟ้าส้วนใหญ่ ถึงคิดว่าตัวเองทำถูกต้อง
เรื่องมันเริ่มจาก ชุดความคิดง่ายๆ ว่า
“ก็เขาชาร์จเต็มแล้ว”
“หัวปลดแล้ว จะอะไรกันนักหนา แค่ดึงออกเอง”
“ฉันจองไว้ครับ มีสิทธิ์ชาร์จ คนจอดแช่คือคนละเมิดสิทธิคนอื่น”
คำพูดแบบนี้ดูเผินๆ เหมือนมีเหตุผล แต่ในความจริงแล้ว…
มันสะท้อนบางอย่างที่ลึกกว่า ว่า ขณะที่เทคโนโลยีทันสมัยขึ้น แต่เรากำลังขาดพื้นฐานสำคัญ ของการอยู่ร่วมกันในสังคม คือ “การให้เกียรติ” กันและกัน
รวมถึง วินัยในการอยู่ร่วมกัน ของคนไทย ยิ่งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เป็นการให้บริการแบบ Self Service ยิ่งสะท้อนเบื้องลึกเงาดำมืดในสังคมมากกว่าเดิม
คิดให้ไกลกว่าหัวหัวชาร์จ
ถ้าคุณคิดให้ไกลกว่า หัวชาร์จ ย้อนไปยุครถยนต์สันดาป (ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่) ช่วงที่คนมาแห่เติมเนื่องจากราคาน้ำมันขึ้น คุณเคยต้องเสียเวลา รอคิวเข้าปั้มที่หน้า ต่อแถวรอเข้าตู้จ่าย
คงเคยเห็นรถบางคันเติมเสร็จแล้ว แต่หัวจ่ายยังคาที่รถไม่เสร็จเสียที เราเองก็รีบอยากกลับไปพักผ่อน
ถ้าคุณคิดว่า การเดินไปดึงหัวชาร์จรถคันอื่น คือสิ่งที่ถูกต้อง
ทำไม พอเป็นรถน้ำมัน เราไม่คิดทำแบบเดียวกัน คือ คันหน้าช้านัก คุณเดินไปดึงหัวจ่ายออก แล้วไล่รถคันนั้นออกไป เพื่อคุณจะได้รีบเติมน้ำมัน เหมือนกับเรื่องที่เกิดขึ้น ในสังคมรถยนต์ไฟฟ้า
นั่นเพราะ คุณดันเข้าใจว่า ต้องรอผู้ให้บริการเขาจัดการ ในที่นี้คือ “เด็กปั้ม”
คุณในฐานะผู้รับบริการไม่สิทธิไปวุ่นวาย กับกระบวนการให้บริการของเขา จนกว่าเขาจะบริการเสร็จสิ้น คุณจึงเข้ารับบริการต่อไป
ถ้าเรานำเรื่องนี้ มามองในมุมการชักปลั้กรถคนอื่นโดยพละการ แม้ว่า คนส่วนใหญ่อาจจะบอกว่า “ถูกต้อง” แต่ความจริง กำลังสะท้อนว่า เราอาจจะเข้าใจผิด ว่าเรามีสิทธิ และกำลัง ประพฤติในสิ่งที่ไม่ควร
มามองทางด้านกฏหมาย
แม้ว่า ผู้ให้บริการที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ อาจจะมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็ก และยังไม่มีกฏใดๆ ชัดเจนเข้ามากำหนดเรื่อง การห้ามถอดที่ชาร์จ ออกจากรถคันอื่น โดยพละการ
แต่ในทางกฏหมายพฤติกรรมเช่นนี้ เข้าข่ายความผิด 2 ข้อใน 2 กฏหมายสำคัญ คือ
- ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ท าต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิต ก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นละเมิดจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
- ประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 358 ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นั่นยิ่งสะท้อนว่า สิ่งที่สังคมคิดว่าทำได้หรือถูกต้อง อาจไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องที่สุดเสมอไป และซ้ำร้ายความคิดว่าทำถูกต้อง ถูกส่งต่ออย่างผิดๆ จนคนเข้าใจว่า มีความชอบธรรม และ ทำถูกแล้ว
แล้วความจริงควรทำอย่างไร
จากกรณีนี้ ด้วยความสงสัย ทางผมจึงตัดสินใจ ลองโทรเข้าสอบถามคอลเซ็นเตอร์ของผู้ให้บริการที่ถูกยกมาเป็นประเด็น และลองสอบถามกับเจ้าหน้าที่โดยตรงว่า ในกรณีแบบที่เกิดขึ้นนั้น ควรจะทำอย่างไรกันแน่
ทางตัวแทนผู้ให้บริการ ได้ตอบผมอย่างชัดเจนว่า ทางผู้ให้บริการ ไม่มีนโยบายให้ลูกค้า หรือ ผู้ใช้บริการท่านอื่นๆ ดำเนินการถอดหัวชาร์จออกจากรถผู้รับบริการคนอื่นโดยพละการ เนื่องจากอาจเกิดความเสียหายกับตัวรถ คนอื่นได้
ในกรณีเช่นนี้ ทางเจ้าหน้าที่ แนะนำว่า อยากให้เป็นการประสานงาน มาเพื่อแจ้งให้ผู้ให้บริการทราบและประสานงานลูกค้าท่านอื่นต่อไป ไม่ควรถอดหัวชาร์จเอง
เจ้าหน้าที่ยังย้ำว่า ในกรณีแบบนี้ห้ามไม่ให้ถอดหัวชาร์จเอง แม้ว่า จะสามารถกระทำได้ ก็ตาม
ถอดผิดเขี้ยวหักชาร์จไม่ได้ จบไม่สวย
อย่างไรก็ดี , หนึ่งในสาเหตุที่เราไม่ควรไปถอดที่ชาร์จรถคันอื่นโดยพละการ ไม่เพียงแค่ละเมิดเท่านั้น แต่คุณ ยังมีสิทธิสร้างความเสียหายกับรถคันอื่นโดยไม่รู้ตัว
เช่น อาจไปสร้างรอยขูดขีดตัวรถโดยไม่ได้ตั้งใจ
และในกรณีร้ายแรงที่สุด หากดึงกระชากหัวชาร์จออกจากตัวรถ อย่างไม่ระมัดระวัง อาจทำให้เขี้ยวล็อกหัวชาร์จหักเสียหาย รถคันที่คุณดึงออกจะไม่สามารถชาร์จไฟฟ้าได้อีก และมีค่าซ่อมค่อนข้างสูงมาก ถ้าต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการ
รวมถึงรถ EV แต่ละรุ่น อาจจะใช้หัวชาร์จแบบเดียวกัน แต่การดึงหรือถอดหัวชาร์จจังหวะ อาจไม่เหมือนกัน มีความเสี่ยงสูงมากที่จะสร้างความเสียหายกับรถคันอื่น จนอาจกลายเป็นเรื่องยาว
สรุป เจอชาร์จแช่ ไม่ควรจัดการเอง
จากทั้งหมดมาถึงตรงนี้ คุณคงพอจะเริ่มเห็นภาพแล้วว่า ในกรณีแบบนี้ควรจะจัดการอย่างไร
เมื่อคุณพบรถชาร์จแช่ ไม่ยอมออกจากที่ชาร์จแม้ชาร์จเต็มหัวชาร์จปลดล็อคแล้ว คุณสามารถดึงได้ ก็ไม่สมควรที่จะไปดึงด้วยตัวเอง
สิ่งที่ควรทำคือ การแจ้งผู้ให้บริการตู้ชาร์จว่าพบปัญหาในการใช้งาน แล้วให้เขาไปประสานงานดำเนินการต่อ
คนที่ชาร์จแช่ผิดในการละเมิดต่อ “ผู้ให้บริการ” เป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการต้องไปจัดการดำเนินการ
กรณีผู้ให้บริการไม่สามารถให้บริการคุณได้ พวกเขาก็จะต้องคืนเงินจอง หรือใดๆ ให้กับคุณอย่างปฏิเสธไม่ได้
แต่เมื่อใด คุณไปดำเนินการถอดที่ชาร์จเอง จากรถคันอื่น คุณกำลังทำผิดกฏหมาย ทั้งแพ่งและอาญา โดยไม่รู้ตัว และคิดว่า การกระทำง่ายๆ ไม่เป็นเรื่อง แต่ถ้าเมื่อไรมันเป็นเรื่อง
สู้กันด้วยกฏหมาย .. ยังไง คนที่ไปกระทำเขา ก็เป็นฝ่ายผิด