ย้อนไปช่วง 1-2 ปีก่อน หลายคนต่างเข้าใจว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องมีแต่พุ่งสูงขึ้น และรถขุมกำลังสันดาป ก็จะเป็นที่ต้องการน้อยลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ผลสำรวจล่าสุด ในหมู่ผู้ใช้รถชาวอเมริกันกลับแสดงข้อเท็จจริงที่ต่างออกไป

จากข้อมูลโดยบทสำรววจ “ผู้ที่มีแผนจะซื้อรถยนต์มือหนึ่งคันใหม่ หรือรถยนต์มือสอง คันใหม่ ภายในอีก 24 เดือนข้างหน้า” ของ “EY” บริษัทตรวจสอบบัญชีระดับต้นของโลก ระบุว่าเทรนด์การเลือกรถยนต์คันต่อไปของผู้ใช้รถยนต์ในสหรัฐอเมริกา มีความเปลี่ยนแปลงจากในช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน และยังเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างจากการคาดการณ์ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ในทางตรงกันข้าม
เพราะกว่าครึ่ง หรือ 50% ของผู้ที่ตอบแบบสำรวจ กลับเลือกที่จะไปต่อกับรถยนต์ขุมกำลังสันดาปภายในมากขึ้นแทน ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าผลสำรวจเมื่อปีก่อนถึง 13% ด้วยกัน และในทางกลับกัน จำนวนผู้ที่สนใจจะซื้อรถใหม่ ไม่ว่าจะมือหนึ่งหรือมือสอง ที่เป็นรถขุมกำลังไฮบริด ก็มีอัตราน้อยลง 5% เหลือ 16%
ขณะเดียวกันทางฝั่งผู้ที่สนใจจะซื้อรถยนต์คันใหม่ ไม่ว่าจะมือหนึ่ง หรือมือสอง ที่เป็นรถขุมกำลังพลังงานไฟฟ้าล้วน ยังมีตัวเลขลดลงจากปีก่อนถึง 10% เหลือเพียง 14% เท่านั้น และในคนกลุ่มนี้มากกว่า 1 ใน 3 หรือ 36% ยังระบุเพิ่มเติมย่อยไว้อีกว่า พวกเขาอาจเปลี่ยนแผนในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า หรือชลอการซื้อออกไปอีก โดยมีประเด็นในการพิจารณาคือเรื่องการสนับสนุนด้านกฏหมายจากภาครัฐท้องถิ่นเป็นประเด็นสำคัญ

นอกจากนี้ ทาง EY ยังระบุอีกว่าแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้ในสหรัฐอเมริกา ยังสามารถเกิดขึ้นได้อีก เนื่องจากในช่วงเวลาไม่ถึงปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสหรัฐ Donald Trump ได้มีการออกมาตรการที่เอื้อต่อการใช้งานยานพาหนะขุมกำลังสันดาปภายในมากขึ้น ซึ่งก็จะทำให้ผู้บริโภคและผู้ผลิตกลับมาให้ความสนใจในการซื้อและขายยานหาะนะในกลุ่มนี้มากกว่าเดิม ในช่วงเวลาขวบปีนับจากนี้เช่นกัน
ย้อนไปไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังได้พักการบังคับใช้มาตรฐาน CAFE ซึ่งช่วยให้ผู้ผลิตสามารถผลิตยานพาหนะขุมกำลังงสันดาปภายในได้มากขึ้นด้วย ซึ่งก็จะทำให้พวกเขามีรถพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าได้อย่างตรงตามความต้องการมากกว่าเดิม หลังจากที่พวกเขาพบว่ายังมีลูกค้าอีกจำนวนมากที่ต้องการใช้งานรถเหล่านี้มากกว่ารถไฟฟ้ากันอยู่

และเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ในฝั่งทวีปยุโรปเอง ก็ดูเหมือนรัฐบาลกลางของสหภาพยุโรป ก็มีการปรับเงื่อนไขของมาตรการแบนยานพาหนะขุมกำลังสันดาปภายใน ปี 2035 ไปเช่นกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาก็เริ่มเห็นแนวทางที่รถไฟฟ้า อาจยังไม่สามารถตอบโจทย์ประชาชนอย่างแท้จริงได้ในกำหนดเวลาที่ระบุไว้
ขณะที่ในเดียวกัน เหล่าผู้ผลิตและนักวิทยาศาสตร์ยังดูเหมือนว่าจะสามารถสร้างเทคโนโลยีที่ช่วยให้รถขุมกำลังสันดาปภายใน สามารถไปต่อในยุคที่มนุษย์ควรให้ความสำคัญเรื่องอัตราการปล่อยมลพิษมากๆได้แล้ว
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจนัก หากหลายคนจะเริ่มหันกลับมาให้ความสนใจในการใช้งานรถขุมกำลังสันดาปภายในมากขึ้น และอัตราการเติบโตของรถพลังงานไฟฟ้าจะลดลง อยู่ในจุดที่ไม่หวือหวาใดๆอีกต่อไป อย่างน้อยก็ในช่วงเวลานี้
ที่มา Carscoops