ดูเหมือนตอนนี้ตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะเริ่มกลับมาเติบโตได้ดีอีกครั้ง หลังจากที่ยอดขายในตลาดโลกของรถยนต์ในกลุ่มนี้เริ่มกลับมามีอัตราการเติบโตต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่เคยซบเซาหนักไปพอสมควรเมื่อปีก่อน

จากการรายงานข้อมูลโดย RhoMotion ระบุว่าในเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วน และรถยนต์ขุมกำลังปลั๊กอิน-ไฮบริด สามารถทำยอดอขายสะสมในตลาดโลกไปได้กว่า 1.5 ล้านคัน ซึ่งถือว่าเป็นอันตราการเติบโตกว่า 29% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ยอดขายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ก็ถึงทำยอดขายทั้งเดือนได้เยอะกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนไป 12% เช่นกัน
นั่นจึงทำให้ในตอนนี้ยอดขายของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ทั้งแบบ BEVs และ PHEVs มีตัวเลขรวมทั้งไตรมาสแรกของปี 2025 ที่ 5.6 ล้านคัน โดยประเทศที่รถยนต์กลุ่มนี้ได้รับความนิยมมากที่สุด ก็ยังคงเป็นประเทศจีน ทำตัวเลขยอดขายไปได้ 3.3 ล้านคัน โดยถือเป็นอัตราการเติบโตที่มากถึง 35% จากปีก่อน และแม้ยอดขายรถยนต์กลุ่มนี้ในเดือนเมษายน จะลดลงจากเดือนมีนาคม 9% แต่ถ้าเทียบกับเดือนเดียวกันในปีที่แล้วก็ยังถือว่ามากกว่ากันอยู่ 32% อยู่ดี
ขณะเดียวกัน สำหรับตลาดรถยนต์พลังงานรถยนต์ไฟฟ้าในทวีปยุโรป ก็มีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้นเช่นกัน หลังจากที่ซบเซาหนักมากในปีก่อน โดยยอดขายรถยนต์กลุ่มนี้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2025 ที่ทวีปยุโรป มีตัวเลขทั้งหมด 1.2 ล้านคัน ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตที่มากขึ้นกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนอยู่ 25%
โดยหากแตกย่อยออกเป็นยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วน หรือ BEVs ก็จะบพบว่า่่มันมีอัตราการเติบโตมากขึ้น 29% และในฝั่งรถ PHEVs ก็จะเติบโตมากขึ้น 16% หรือหากแยกเป็นยอดขายในแต่ละประเทศ ก็จะพบว่า ในประเทศเยอรมัน มียอดขายเติบโตขึ้น 42%, อิตาลี 56%, สเปน 57%, สหราชอาณาจักร อีก 32% เว้นเพียงประเทศฝรั่งเศสทีี่ยอดขายกลับสวนทางโดยลดลงไปจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนอยู่ 14%
ขณะที่ตลาดอันดับ 3 อย่างตลาดในโซนอเมริกาเหนือ ที่สามารถทำยอดขายได้ราว 600,000 คัน แท้จริงแล้วก็เป็นตัวเลขยอดขายที่มีอัตราใกล้เคียงกับปีก่อน นั่นคือเติบโตขึ้นกว่า 5%
ส่วนสาเหตุที่ทำให้ตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า กลับมามียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในหลายๆประเทศ ส่วนหนึ่งก็คาดว่าจะเกิดจากการที่ทางสหรัฐอเมริกา ได้มีการปรับและเลื่อนเวลาในการบังคับใช้อัตราภาษีนำเข้าใหม่ออกไปจากกำหนดเดิม 90 วัน และส่งผลเกี่ยวเนื่องให้รัฐบาล และนักลงทุนในหลายๆประเทศลดความตึงเครียดลง และทำให้ประชาชนในหลายๆประเทศเบาใจ และกล้าที่จะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นนั่นเอง