ย้อนไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้า ทาง Honda ได้มีการทำรถ EV Fun Concept มาโชว์ตัวให้ชาวไทยได้รับชนกัน และในตอนนี้ ทางค่ายก็ได้เผยโฉมวางขายจริงของมันออกมาแล้ว กับชื่อใหม่ ที่เรียกว่า Honda WN7

ดังที่ระบุไว้ข้างต้น Honda WN7 ถูกสร้างขึ้นมาโดยต่อยอดมาจาก Honda EV Fun Concept ที่ทางค่ายได้เผยโฉมครั้งแรกสู่สายตาชาวโลกเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2024 และยังมีการเอามาโชว์ตัวในประเทศไทยเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ในนิทรรศกาล The M.O.V.E. by Honda ณ ศูนย์การค้า EMSPHERE
โดยที่มาของชื่อรถ ในส่วนตัวอักษร “W” จะย่อมาจากคำว่า “Be the Wind” หรือ ดุจดั่งสายลม และ “N” ก็จะย่อมาจาก “Naked” ซึ่งก็หมายถึงรถทรงเปลือย ส่วนเลข “7” จะเป็นการบ่งบอกว่ารถรุ่นนี้ถูกวางตำแหน่งให้เป็นรถคลาสกลางค่อนใหญ่เมื่อเทียบกับรถไฟฟ้าโมเดลอื่นๆที่จะตามมาในอนาคต
และสิ่งที่เปลี่ยนไปกับตัวรถเวอร์ชันขายจริง ก็เรียกได้ว่าแทบจะมีเพียงแค่งานออกแบบองค์รวมเท่านั้นที่ยังคงเดิม แต่รายละเอียดชิ้นส่วนต่างๆล้วนถูกปรับเปลี่ยนไปเพื่อให้มันเหมาะสำหรับการวางขายจริงมากขึ้น ทั้งการใส่ดวงไฟหน้าแบบ Projector LED จริงๆเข้ามาด้านบนกับด้านล่างแถบไฟ DRL พร้อมติดตั้งไฟเลี้ยว LED ทรงคุ้นเคยทางด้านข้าง, เปลี่ยนบังโคลนหน้าใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เหมาะสำหรับการใช้งานจริง

จากนั้น จึงมีการเพิ่มชุดพลาสติคปิดสายไฟหลังเรือนไมล์แบบจอ TFT ขนาด 5.0 นิ้ว ซึ่งจะรองรับการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านระบบแอพพลิเคชัน RoadSync, ปรับเปลี่ยนสัดส่วนเปลือกนอกตัวรถบริเวณกลางลำตัวรถใหม่ให้หวือหวาน้อยลง, ปรับเปลี่ยนแชสซีย์หรือโครงสร้างอลูมิเนียมหล่อขึ้นรูปใหม่ โดยเฉพาะช่วงล่างที่มีการเปิดช่องให้เห็นตัวมอเตอร์ขับเคลื่อนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น, ปรับหน้าตาเคสแบตเตอรี่ใหม่ให้ดูแข็งแรงกว่าเดิม
และปรับซับเฟรมอลูมิเนียมด้านท้ายใหม่ ให้มีความหนามากขึ้น เพื่อทำให้มันสามารถรองรับน้ำหนักผู้ซ้อนได้จริง และแน่นอนว่าตอนนี้มันจะได้รับการาติดตั้งดวงไฟท้ายขนาดใหญ่ กับขายึดแผ่นป้ายทะเบียนแล้วเป็นที่เรียบร้อย

ระบบกันสะเทือนด้านหน้า เป็นแบบโช้กหัวกลับ ขนาดแกน 43 มิลลิเมตร ช่วงยุบ 120 มิลลิเมตร จาก Showa ส่วนด้านหลัง ด้านหลังโดดเด่นด้วยชุดสวิงอาร์มอลูมิเนียมแขนเดี่ยว ทำงานร่วมกับชุดโช้คต้นเดี่ยวขนาด 41 มิลลิเมตร ช่วงยุบ 120 มิลลิเมตร จาก Showa เช่นกัน
ระบบเบรก ด้านหน้า เลือกใช้คาลิปเปอร์เบรกเรเดียลเมาท์ 4 พอท และจานเบรกคู่หน้าขนาด 296 มิลลิเมตร ส่วนด้านหลัง เป็นคาลิปเปอร์เบรกแบบโฟลทติ้งเมาท์ 1 พอท ทำงานร่วมกับจานเบรกเดี่ยวขนาด 256 มิลลิเมตร และมีชุดล้ออัลลอยด์ ด้านหน้ารัดด้วยยางขนาด 120/70-17 กับด้านหลังรัดด้วยยางขนาด 150/60-17
ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าระบายความร้อนด้วยน้ำ ถูกระบุว่าจะสามารถทำแรงม้าได้สูงสุดที่ราวๆ 67 แรงม้า และในเวลาปกติ จะถูกลดทอนลงเหลือ 24.1 แรงม้า ขณะที่แรงบิดสูงสุดจะมีตัวเลขสูงสุด 100 นิวตันเมตร ซึ่งถือว่าค่อนข้างเยอะพอตัว แต่ก็เพื่อไว้ลากน้ำหนักรถที่มากถึง 217 กิโลกรัม ไม่รวมผู้ขี่และผู้ซ้อนกับสัมภาระ
ขณะที่ความเร็วสูงสุด จะถูกจำกัดเอาไว้ที่ 129 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีอัตราเร่งจากความเร็วหยุดนิ่ง จนถึงระยะ 50 เมตร ได้ภายในเวลา 3.9 วินาที

ส่วนแบตเตอรี่ที่ให้มา ถูกระบุว่าเป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 9.3 kWh พร้อมสถาปัตยกรรมการจ่ายไฟ 350 Volt ที่ทำให้รถสามารถวิ่งได้เป็นระยะทาง 140 กิโลเมตร/ชาร์จ โดยผู้ใช้สามารถชาร์จไฟรถจาก 20%-80% ด้วยระบบไฟ DC ผ่านหัวชาร์จแบบ CCS2 ได้ภายในเวลาเพียง 30 นาที แต่ในส่วนการชาร์จแบตเตอรี่จาก 0%-100% ด้วยการชาร์จแบบ AC จะใช้ทั้งสิ้น 2.4 ชั่วโมง
ด้านมิติตัวรถ จะมีตัวเลขด้านยาว 2,156 มิลลิเมตร, ด้านกว้าง 826 มิลลิเมต, ด้านสูง 1,085 มิลลิเมตร, ระยะฐานล้อ 1,480 มิลลิเมตร, ความสูงเบาะนั่ง 800 มิลลิเมตร, และความสูงใต้ท้องรถ 139 มิลลิเมตร
โดยทาง Honda ยังระบุอีกว่า ตัวรถรุ่นนี้ มีจุดศูนย์ถ่วงขณะกางขาตั้งข้างสูงจากพื้นเพียง 477 มิลลิเมตร และเมื่อพับขาตั้งข้างและตั้งรถตรง ก็จะขยับขึ้นเป็น 501 มิลิลเมตร ทำให้แม้รถจะมีน้ำหนักค่อนข้างมาก แต่ด้วยศูนย์ถ่วงที่ค่อนข้างต่ำ จึงทำให้ผู้ใช้สามารถเข็นรถได้สบายหายห่วงแน่นอน
แถมรถยังมีระบบอิเล็กทรอนิสก์ช่วยเหลืออีกมากมาย ทั้ง ระบบ Cornering ABS, ระบบ Walking Speed Mode ช่วยขับเคลื่อนรถที่ความเร็วต่ำ ทั้งแบบเดินหน้าและถอยหลัง, ระบบ Selectable Speed Limit Assist (SSLA) สำหรับจำกัดความเร็วในการใช้งาน, และยังมีระบบ Emergency Stop Signal (ESS) หรือระบบไฟกระพริบฉุกเฉินขณะเบรกกระทันหันมาให้อีก ตามด้วยโหมดการขับขี่อีก 4 รูปแบบ, โหมดแรงหน่วงมอเตอร์อีก 4 ระดับ (0-3), และระบบคุมแรงบิดตามความสัมพันธ์ของอัตราการหมุนของล้อหน้า-หลัง Honda Selectable Torque Control (HSTC)
ด้านราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ พร้อมตั้งราคาวางจำหน่ายในยุโรปที่ 560,000 บาท ส่วนใครที่รอคอยการวางจำหน่ายในไทยของตัวรถรุ่นนี้ ก็อาจจะต้องรอดูไปยาวๆอีกเช่นกัน เพราะดูเหมือนว่ามันจะถูกวางแผนให้มีไว้เพื่อการทำตลาดในทวีปยุโรปกับในประเทศญี่ปุ่นก่อนเท่านั้น ส่วนที่เหลือยังต้องรอการอัพเดทข้อมูลกันต่อไป







