Home » 2025 Yamaha Tenere 700 โฉมปรับใหม่ ใส่เต็มออพชัน กับราคาถูกลง เหลือ 459,000 บาท
คอมอเตอร์ไซค์

2025 Yamaha Tenere 700 โฉมปรับใหม่ ใส่เต็มออพชัน กับราคาถูกลง เหลือ 459,000 บาท

Yamaha Tenere 700 นับว่าเป็นที่สุดแห่งสายลุยคลาสกลางมาโดยตลอด ตั้งแต่ปี 2019 และตอนนี้ตัวรถร่างปรับใหม่ ใส่เต็มกว่าเดิมโฉมปี 2025 ก็ได้พร้อมวางจำหน่ายแล้วในไทย กับราคาถูกลง เหลือเพียง 459,000 บาท เท่านั้น

2025 Yamaha Tenere 700 มาพร้อมกับการปรับโฉมใหม่ในหลายจุดด้วยกัน โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนเพื่อเสริมความหล่อเหลาที่มากขึ้น อย่างการเปลี่ยนงานออกแบบแฟริ่งข้างใหม่เล็กน้อย ให้ดูปราดเปรียวกว่าเดิม และยังมีมิติมากกว่าเดิม ด้วยการเว้นพื้นที่ของชิ้นแฟริ่งซับในให้ใหญ่ขึ้น

ดวงไฟหน้าที่เคยเป็นแบบ LED Projector โคมกลม 4 ดวง ก็เป็นเป็นแบบ LED Projector โคมแบน 4 ดวง แทน ซึ่งไม่ใช่แค่เพื่อความส่วยงามเท่านั้น แต่ยังเพื่อการกระจายแสงทางด้านข้างที่กว้างขึ้น

เบาะนั่งที่สูง 875 มิลลิเมตร ก็ได้ถูกปรับรูปทรงใหม่ ให้แบน และบางกว่าเดิม เพื่อความคล่องตัวในการจัดท่าทางการขี่ที่มากขึ้น ทั้งตอนนั่งและตอนยืน ซึ่งก็จะสอดรับกับพักเท้าใหม่ที่กว้างขึ้นกว่าเดิมอีก 10 มิลลิเมตร โดยยกมาจาก Tenere 700 World Raid โฉมปี 2022 กับแครงก์เครื่องยนต์ฝั่งขวาที่ถูกปรับดีไซน์ใหม่ให้บางลง ลดความเกะกะหน้าแข้งและด้านในเท้าขณะหนีบขี่ได้ดีกว่าเดิม

พักเท้าอลูมิเนียมถูกปรับดีไซน์ใหม่ ให้สามารถพับเก็บเข้ามาในแนวตัวรถได้มากขึ้น แก้ปัญหาขาตั้งในรุ่นก่อนหน้าที่อาจจะเกะกะขาเกินไปขณะขี่ใช้งาน และปรับจุดยึดปลายท่อไอเสียใหม่ ให้แข็งแรงกว่าเดิม เพื่อลดความเสียหายหากรถเกิดอุบัติเหตุล้มคว่ำขณะใช้งานเช่นกัน

และในส่วนของการปรับเปลี่ยนเพื่อเสริมสมรรถนะ ก็ยังมีทั้งการปรับเปลี่ยนรูปทรงถังน้ำมัน ให้ขยับไปทางด้านหน้า และกดต่ำลงมากกว่าเดิม เพื่อถ่วงสมดุลรถใหม่ ให้ขยับไปข้างหน้ามากขึ้น ช่วยให้หน้ารถมีความนิ่งกว่าเดิม เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ขี่ และยังปรับสมดุลให้เตี้ยลง เพื่อเสริมความคล่องตัวในการโยกรถไปมาขณะบุกป่าฝ่าดงได้ดีกว่าเดิม

ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าที่เป็นโช้คตะเกียบคู่หัวกลับขนาดแกน 43 มิลลิเมตร พร้อมช่วงยุบมากสุด 210 มิลลิเมตร ซึ่งได้รับการปรับจูนใหม่ ก็ยังมาพร้อมกับชุดแผงคอที่ถูกอัพเกรดวัสดุ ให้เป็นอลูมิเนียมฟอร์จน้ำหนักเบาด้านล่าง และอลูมิเนียมหล่อขึ้นรูปทางด้านบน เพื่อไล่เบา

โดยที่โช้คหลังที่เป็นแบบต้นเดี่ยวมีกระปุกซับแทงค์แก๊สแยกและรีโหมดปรับพรีโหลด ก็ถูกปรับจูนใหม่เช่นกัน แถมยังมาพร้อมกับชุดกระเดื่องทดแรงอลูมิเนียมที่ปรับรูปทรง เพื่อเปลี่ยนอัตราการยุบตัวของโช้คใหม่ ให้ช่วงล่างสามารถซับแรงกระแทกได้กระชับมากขึ้น

ส่วนระบบเบรกยังไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนใดๆ เนื่องจากทั้ง จานเบรกคู่ขนาด 282 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับปั๊มโฟลทติ้งเมาท์คาลิปเปอร์ 2 พอท ทางด้านหน้า กับ จานเบรกเดี่ยวขนาด 245 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับปั๊มโฟลทติ้งเมาท์ 1 พอท ไปจนถึงปั๊มบนหน้า-หลัง ทั้งหมดก็ยกชุดมาจากทาง Brembo มาตั้งแต่แรกอยู่แล้วนั่นเอง

ในด้านขุมกำลัง ยังคงใช้เครื่องยนต์ CP2 หรือ 2 สูบเรียง DOHC 8 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาด 689cc พร้อมข้อเหวี่ยงแบบ Cross Plane ซึ่งให้กำลังสูงสุด 73.4 แรงม้า ที่ 9,000 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 68 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบ/นาที เท่าเดิม

แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามา คือการปรับจูนกล่อง ECU ปรับแก้ชิ้นส่วนภายในอีกเล็กน้อย และปรับปรุงระบบบำบัดไอเสียใหม่ จนผ่านมาตรฐานมลพิษระดับ Euro 5+ พร้อมปรับทางเดินอากาศขาเข้าใหม่ เพื่อเพิ่มอัตราการตอบสนองของเครื่องยนต์ให้มีย่านกว้างมากขึ้น ปรับปรุงชุดเกียร์ธรรมดาคลัทช์มือ 6 สปีด พร้อมสลิปเปอร์คลัชท์ใหม่ ให้ผู้ขี่สามารถต่อเกียร์ขึ้น-ลง ได้นุ่มนวลกว่าเดิม

และมีการเพิ่มชุดคันเร่งไฟฟ้าเข้ามา ช่วยให้คราวนี้ รถจะมีลูกเล่นอย่างโหมดการขับขี่ และระบบ Traction Control ที่สามารถทำงานได้อย่างเรียบเนียน หลากหลายมากขึ้น เช่นเดียวกับระบบ ABS ที่สามารถเปิด-ปิดการทำงานได้

ซึ่งลูกเล่นการทำงานต่างๆเหล่านี้ ก็จะถูกนำไปแสดงผลการทำงานบนหน้าจอแสดงผล Full Digital TFT แบบใหม่ ที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมเป็น 6.3 นิ้ว แต่ยังคงเป็นจอแบบแนวตั้งเหมือนเดิม เพื่อคงภาพลักษณ์ความเป็นรถลุยสไตล์แรลลีไว้ให้ครบครันดังเดิม

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.