หลายปีที่ผ่านมา PHEV หรือ Plug in Electric Vehicleเข้าจำหน่ายในตลาดประเทศไทย แต่ไม่ปังสักที
รถยนต์แบบนี้โผล่มาในแบรนด์หรูอย่าง Mercedes Benz และ BMW ตั้งแต่ราวๆ 10 ปีก่อน จนกระทั่งวันนี้รถยนต์ราคาล้านกว่าบาทก็มีวางจำหน่าย แต่ปัจจุบัน ก็ยังไม่แพร่หลายนัก ยิ่งเมื่อพูดถึงระบบ PHEV คราวใด
หลายคนจะส่ายหน้าและกังวลว่าจะเป็นภาระมากกว่า จะได้ความประหยัด

กลัวซ่อมสองระบบ
ความกังวลของคนไทย แรกๆที่โผล่มาทุกครั้งในบทสนทนา คือ กลัวซ่อมสองระบบ ก็มาจากข้อเท็จจริงในแง่ตัวระบบที่มีทั้งเครื่องยนต์สันดาปประสิทธิภาพสูง สามารถขับเคลื่อนตัวรถได้ และระบบขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าล้วน ติดตั้งไว้เคียงข้างกัน เพื่อใช้งานร่วมกันในระหว่างการขับขี่
นั่นทำให้ คนจำนวนไม่น้อยกังวลมากว่า ในท้ายที่สุดถ้าใช้ไปในระยะยาวรถยนต์ PHEV จะต้องซ่อมบำรุงทั้งสองระบบ ซึ่งเรื่องนี้ก็มีส่วนถูกเช่นกัน เพราะยังไงเสียระบบ PHEV มีซับซ้อนมากกว่า และจะนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายมากขึ้น

โดยเฉพาะกับคนที่ต้องการใช้งานรถระยะยาว อาจมองว่าความประหยัดที่ได้ไม่คุ้มเสีย
แถมแบตเตอร์รี่ก็ลูกใหญ่น้องๆรถยนต์ไฟฟ้า ยกตัวอย่างในรถราคาจับต้องได้ Haval H6 PHEV รุ่นปัจจุบันใช้แบตเตอร์รี่ขนาด 27.84 KW สามารถวิ่งไฟฟ้าล้วนได้ 150 ก.ม. ต่อการชาร์จ
ในอนาคตหากต้องเปลี่ยนแบตเตอร์รี่ราคาค่างวดก็ไม่ธรรมดาแน่ และที่มีข้อมูลว่าเสียบ่อยอีกอย่างคือชุดเกียร์ของระบบที่ชาญฉลาดมากพอในการเลือกพลังงานที่ดีที่สุดมาขับเคลื่อน
เมื่อมองรวมกับความประหยัดที่จะได้มันแทบจะได้ไม่คุ้มเสียเลย
แบกน้ำหนักไม่ประหยัด ถ้าไฟหมด
ในยุคแรกของรถยนต์ PHEV ผู้ที่มีโอกาสสัมผัส ทั้งเจ้าของและสื่อมวลชนส่วนใหญ่มองไปในทางเดียวกันว่า ปัญหาของระบบนี้คือ ซดน้ำมันมากกว่าเดิมเมื่อไฟหมด
ตามปกติแล้วระบบ PHEV จะออกแบบให้ขับไฟฟ้าล้วนได้ระยะทางระดับหนึ่ง ซึ่งในช่วงนั้นเครืองยนต์จะไม่ทำงานเลย ทำให้ ขับได้เหมือนรถยนต์ไฟฟ้าปกติทั่วไป
แต่เมื่อไฟในแบตเตอร์รี่เหลือน้อย การขับเคลื่อนทั้งหมดจะเปลี่ยนกลับมาใช้เครืองยนต์ทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อน แม้ว่าระบบจะเปลี่ยนมาเป็นการขับแบบไฮบริดโดยมอเตอร์ไฟฟ้า ทำหน้าที่เสริมกำลังขับกับเครื่องยนต์
ทว่าน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของอุปกรณ์ไฟฟ้า โดยเฉพาะแบตเตอร์รี่ขนาดใหญ่จุไฟเพื่อให้ขับไฟฟ้าได้ประหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้า เสมือนรถต้องแบกน้ำหนักมากกว่าปกติไปด้วย
ในยามขับด้วยไฟฟ้า เหมือนรถแบกเครื่องไปด้วย ในการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ ก็เหมือนแบกแบตฯไปด้วย
ยุคแรกเริ่ม PHEV มันจึงไม่ประหยัดน้ำมันเท่าไรนัก จนพอจะกล่าวได้ ไฟหมดก็จบกัน ในแง่ความประหยัด

ปัจจุบันข้อเท็จจริงนี้เปลี่ยนไปมาก ระบบ PHEV ในยุคใหม่ สามารถจัดการทางด้านพลังงานดีขึ้น ประสิทธิภาพตัวแบตเตอร์รี่ก็ดีขึ้นด้วย อาทิ Haval H6 PHEV ที่เราพูดถึงก่อนหน้านี้ เดิมทีเป็นแบตเตอร์รี่ 34KW ปัจจุบันขยับปรับแบตเตอร์รี่เหลือเพียง 27.84 KW มีขนาดเล็กลงรวมถึงยังปรับรูปแบบเซลพลังงานด้วย
ไม่เพียงเท่านี้ จากที่มีโอกาสขับระบบ PHEV หลายๆ ครั้ง ส่วนใหญ่ จะไม่รอให้ไฟหมดหม้อแบบเดิมแต่จะใช้การจัดการพลังงานเมื่อไฟฟ้าต่ำ เพื่อให้มอเตอร์ไฟฟ้ายังทำงานได้ในบางเวลา โดยเฉพาะการออกตัวจากหยุดนิ่งและเร่งแซง จะได้ไม่ใช้กำลังเครื่องยนต์มากเกินไป
แถมแบตเตอร์รี่ยุคใหม่ มีน้ำหนักเบากว่าในยุคก่อนมากพอสมควร ทำให้การแบกน้ำหนักในปัจจุบันน้อยลงไปมากกว่าในยุคแรกเริ่ม

ยกตัวอย่างล่าสุด ผมมีโอกาสนำ Haval H6 PHEV มาทดสอบขับขี่ อัตราประหยัดของมัน อยู่ในระดับ 17 ก.ม./ลิตรสำหรับรถที่มีกำลังสูงถึง 326 แรงม้า โดยทาง GWM ได้จูนให้ระบบเริ่มใช้เครื่องยนต์เมื่อแบตเตอร์รี่อยู่ในระดับต่ำมีไฟวิ่งได้ราวๆ 4-5 ก.ม.
ผิดกับในยุคก่อน อย่าง Mitsubishi Outlander PHEV รุน่ที่ขายไทย อาจกินน้ำมันสูงสุด 11-12 ก.ม./ลิตรในการขับใช้งานจริงเมื่อไฟฟ้าอยู่ในระดับต่ำ และถ้ามีไฟเต็มปรี่รถก็จะเน้นการใช้ไฟฟ้าก่อน ทั้งที่จริงอาจควรสงวนไว้ใช้ในการขับขี่หรือผสมผสานจะดีกว่า
กลัวความวุ่นวายในการชาร์จไฟ
เป็นความจริงที่รถยนต์ PHEV จะประหยัดเมื่อ คุณต้องขับด้วยไฟฟ้าให้มากที่สุด และผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงผู้ผลิตก็แนะนำเช่นนี้ในการใช้งาน
ด้วยการต้องทั้งชาร์จไฟฟ้า ทั้งเติมน้ำมัน หลายคนมักจะมองว่ามันคือความวุ่นวายในการใช้ชีวิตคูณสอง
ทั้งที่ความจริงแล้ว เวลาเราเติมพลังงาน เราไม่ได้เติมทั้งสองระบบพร้อมกัน ในคราวเดียว ที่ต้องเติมบ่อยที่สุดคือ ไฟฟ้า
ข่าวดีคือปัจจุบัน รถยนต์ PHEV ยุคใหม่ เริ่มมีหัวชาร์จเร็วแบบ DC ให้ช่วยประหยัดเวลาในการเติมพลังงานมากขึ้น จากเดิมที่หัวชาร์จ DC มีเพียงในรถจากผู้ผลิตชาวจีนเท่านั้น ปัจจุบันก็เริ่มขยายมาสู่รถยุโรปด้วย

และข้อดีของ PHEV คือคุณไม่ต้องกังวลกับไฟในแบตเตอร์รี่ แม้ชาร์จไฟไม่เต็มก็ประหยัดได้ ระบบจะจัดการเอาพลังงานน้ำมันมาถัว กับไฟฟ้า ให้ประหยัดที่สุด
ถ้าคุณรีบก็ใช้น้ำมันไปก่อน ไม่รีบค่อยแวะหาที่ชาร์จไฟฟ้า และหลายยี่ห้อออกแบบให้ระบบสามารถชาร์จไฟในตัวเองโดยนำเครื่องยนต์มาปั่นไฟเข้าแบตเตอร์รี่ได้ด้วย เหมาะมากกับกรณีคุณกำลังจะเข้าเมือง เมื่อเข้าเขตความเร็วต่ำก็แค่ใช้ไฟฟ้าล้วนขับเคลื่อน ให้ได้ความประหยัดสูงสุด
แม้จะฟังแล้วดูยิ่งน่าปวดหัว และต้องยอมรับว่าผู้ใช้รถยนต์แบบนี้ อาจต้องทำการบ้านเยอะ มากกว่าการใช้รถยนต์ไฮบริด
แต่มันไม่ใช่ความวุ่นวายในชีวิต ยิ่งบ้านใครใช้รถยนต์ไฟฟ้าอยู่แล้ว มีที่ชาร์จในตัวบ้านเป็นทุนเดิม ยิ่งดีและเหมาะกับการใช้งานมากกว่าจะวกกลับไปหาไฮบริดธรรมดา เพราะคุณเข้าใจในการใช้งานอยู่แล้ว แทบไม่ต้องศึกษาอะไรเพิ่มเติม
PHEV ปัจจุบันมันเหมาะกับใคร
ถ้าย้อนไปยังจุดเริ่มต้นของ PHEV ความตั้งใจของมิตซูบิชิ มอเตอร์ ที่พัฒนาระบบนี้ออกมาขายเป็นรายแรกๆ ระบบ นี้เนื้อแท้แล้ว มันเป็นบันไดให้สำหรับคนที่ยังไม่พร้อมใช้รถยนต์ไฟฟ้า ด้วยข้อจำกัดต่างๆมากมายในช่วง 10 ปีก่อน
ไม่ว่าจะข้อจำกัดของจำนวนสถานีชาร์จ , ความสามารถแบตเตอร์รี่และระยะทางขับขี่ ไปจนถึง ความไม่พร้อมของโครงข่ายไฟฟ้าในเวลานั้น

แต่ปัจจุบัน ภูมิทัศนวันนี้เปลี่ยนไป รถยนต์ไฟฟ้าเริ่มเป็นที่ยอมรับในการใช้งานมากขึ้น (อย่างน้อยก็สำหรับในไทย) รถยนต์ PHEV จึงเป็นรถลูกครึ่งเหมือนรถไฮบริด แถมมียังดีกว่าตรงสามารถขับด้วยไฟฟ้าล้วนได้ในระยะทางที่มากกว่าไกลกว่า จนบางครั้งเหมือนมีรถทั้ง 2 แบบในคันเดียว
แม้จะมีหลายเรื่องมากมายที่ต้องคิด และสร้างความกังวลใจในการใช้งาน แต่ PHEV เหมาะกับคน 2 กลุ่ม
กลุ่มแรก คนที่มีรถยนต์ไฟฟ้าอยู่แล้วและกำลังงจะเปลี่ยนรถสันดาปคันเดิม หรือ ซื้อคันใหม่เข้าบ้าน มันช่วยบรรเทาความรู้สึกว่าวุ่นว่ายในการใช้งาน เพราะสิ่งที่ทำคือสื่งที่คุ้นเคยอยู่แล้ว ทั้งในรถสันดาปและรถยนต์ไฟฟ้า
กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มคนที่กำลังอยากเปลี่ยนมาใช้รถยนต์เทคโนโลยีใหม่ และยังกังวลต่อการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า สำหรับพวกเขาเวลามีค่า PHEV จะเป็นคำตอบที่ดี
มันลด Pain Point ของรถยนต์ไฟฟ้า และยังมีความสามารถแบบทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและน้ำมัน

มันอาจประหยัดน้อยกว่ารถยนต์ไฟฟ้าบ้าง แต่ยังมีความสามารถในการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าในหลายมุมมอง
และระบบ PHEV นั้นเหมาะกับการใช้งานทั้งในเมืองและนอกเมือง มันดีพอจะเป็นรถคันเดียวในบ้านได้ ถ้าไม่อยากปวดหัวว่า ทำไมเราต้องมีรถ 2 คัน คุณสามารถยุบรวมมันเหลือเพียงคันเดียว ทำไมต้องมีรถสองคันค่าใช้จ่ายคูณสอง ถ้าคุณสามารถมีคันเดียวได้ และทำหน้าที่ได้ทุกงาน แค่ต้องเข้าใจมันมากขึ้น
รถ Plug in Hybrid สำหรับบางคนมันคือเทคโนโลยีที่น่ากังวล จนตัดสินใจบอกผ่านและมองข้าม แต่ที่จริงมันเป็นเทคโนโลยีที่ใช้งานได้ดีมีประสิทธิภพาถ้าเข้าใจ แถมลดความกังวล ,ดราม่า ที่เกิดในรถยนต์ไฟฟ้า
ปัจจุบันหลายรุ่นมาพร้อมความสามารถในการขับขี่ไม่ธรรมดา ในราคาที่จับต้องง่ายขึ้น ทำไมจะไม่น่าสนใจ