ไม่กี่วันก่อน มีโอกาส ร่วมกิจกรรมคาราวานท่องเที่ยวกับอีซูซุ แม้ในทริปนี้ จะได้ขับเครื่องยนต์ 2.2 บล็อกใหม่ ที่เพิ่งมาลงทำตลาดในปีที่ผ่านมา แต่ต้องยอมรับว่า ในเวลานี้ที่หลายคนจับตา คือ เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร ที่ทำตลาดมานาน และไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนใหม่ ทั้งที่คู่แข่งเปลี่ยนไปแล้วหลายตลบ
เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 3.0 รหัส 4JJ-TCX เป็นขุมพลังคู่บุญอีซูซุมานาน แต่ไม่มีทีท่าถึงการปรับปรุงครั้งใหญ่

พูดได้เต็มปาดว่า “มันแทบจะมาสุดทาง” เท่าที่เครื่องยนต์ตัวนี้จะต่อสู้กับกฏเกณฑ์ต่างๆมากมาย
ปัจจุบัน การต้องต่อสู้กับการมาตรการลดปล่อยไอเสียที่ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญ ไปจนถึงความต้องการของลูกค้าเจนใหม่
เริ่มไม่อินกับเครื่องบล๊อกใหญ่ เหมือนวันวาน กำลังดันให้อีซูซุต้องปรับตัวในเร็วๆ นี้
ลือหนัก 2.4 /2.2 เบ่งพลัง
หลายปีที่ผ่านมา อีซูซุ ตกเป็นข่าวถึง การเตรียมนำเครื่องยนต์รุ่นใหม่มาแทนที่ เครื่องยนต์ 3.0 ลิตรอยู่เสมอ
เรื่องราวเริ่มเมื่อหลายปี ก่อนเปิดเครื่อง 2.2 ลิตรรุ่นปัจจุบัน มีกระแสข่าวลือว่าจะนำเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร รุ่นใหม่ เข้าประจำการแทน

ข่าวนี้หายไปเมื่อมิตซูบิชิ มอเตอร์ เปิดเครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตรรุ่นใหม่ ออกมาเป็นการยืนยันว่า มันไม่ใช่เครื่องยนต์ของอีซูซุ แม้ว่ามิตซูบิชิ มอเตอร์ และ อีซูซุ มอเตอร์ จะเปรียบเหมือน ญาติห่างกันกลายๆ
จนกระทั่งเมื่อปีทื่แล้ว ตอนอีซูซุเปิดเครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร Max Force เข้าทำตลาดก็มีเสียงลือเสียงเล่าอ้าง หลังการเปิดตัวไม่นานว่า อาจมีการอัพเครื่องยนต์ 2.2 ให้มีกำลังสูงขึ้น
เช่นการติดตั้ง เทอร์โบคู่ คล้ายไอเดียในมิตซูบิชิมาติดตั้ง เข้ากับเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ทำเป็นรุ่นพลังขับสูง
แต่ภายหลังกระแสข่าวนี้ก็เงียบลงไป อีซูซุรักเดียวใจเดียวกับ เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร จัดการอัพเกรด ECU เป็น Multi Core ทำให้การตอบสนองดีขึ้น ถึงจะไม่ได้จูนเพิ่มเแรงม้าแรงบิดก็ตามที
คู่แข่งรอบด้าน ถึงเวลาต้องปรับ
แม้เครื่อง 3.0 ลิตร จะครองความเป็นเจ้าตลาดสำหรับขุมพลังขนาดใหญ่ พลังเยอะในยุคเฟื่องฟูที่สุด
แต่ปัจจุบันกำลังตกที่นั่งลำบาก เมื่อขุมพลังกลุ่มม้าเยอะ หรือที่ภาษาตลาดเรียกว่า “High Output” ยุคนี้ส่วนใหญ่จะมีเพดานเกิน 200 แรงม้า
ขณะที่อีซูซุ มีกำลังขับสูงสุด190 แรงม้า แรงบิดสูงสุดเพียง 450 นิวตันเมตร

ฝั่งโตโยต้า คู่แข่งรายสำคัญ ตอนนี้ตีปีกบินเหนือกว่าด้วยเครื่องยนต์ 2.8 ลิตร ที่เล็กกว่า เป็นมิตรต่อค่าใช้จ่ายในกระเป๋ามากกว่า แต่มีกำลังขับสูงกว่า ถึง 204 แรงม้า
ไม่นับรวม การไล่จี้มาของเครื่องยนต์กลุ่มบล็อกกลาง (2.0-2.4 ลิตร) เทอร์โบเดี่ยว แทบหายใจรดต้นคอม ด้วยกำลังขับสูงสุด ระดับ 184 แรงม้า
ทั้งมิตซูบิชิเครื่อง 2.4 ลิตร รุ่นใหม่ตัวเทอร์โบเดี่ยว ทำกำลัง 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร
ยิ่งล่าสุดมีค่ายจีน GWM มรร่วมมวงแนะนำเครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร รุ่นใหม่ มีกำลังขับสูงสุด 184 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 480 นิวต้นเมตร พร้อมเกียร์ออโต้ 9 สปีด ยิ่งทำให้ลูกค้าคิดหนักมากขึ้น
หรือจะนิสสัน YS23 เครื่องดีเซล 2.3 ลิตรเทอร์โบคู่ ทำกำลังได้เท่ากับเครื่องยนต์ของอีซูซุ
การเติบโตของตลาดเครื่องยนต์บล็อกกลาง กำลังทำให้ลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรมไปจากเดิม มันเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปถ้าไม่ได้บรรทุกหนักหรือลากจูงบ่อย
ลดขนาดพิชิตภาษี ศึกใหม่ไฟท์บังคับ
อย่างไรก็ดี , การลดไอเสียได้ผลที่สุด หนีไม่พ้น การปรับลดขนาดเครื่องยนต์ลงจากปัจจุบัน
การเปิดเครื่องยนต์ 2.2 ออกมาล่าสุด ทำให้เราเห็นแล้วว่า อีซูซุ น่าจะพอมีไอเดียในการปรับเครื่องยนต์ให้มีขนาดที่ตรงกับความต้องการจริงของลูกค้า
ย้อนกลับมาที่เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร ขุมพลังรุ่นนี้ไม่เคยถูกปรับปรุงชิ้นส่วนเครื่องยนต์อย่างจริงจัง มาตลอดตั้งแต่เริ่มทำตลาด
ที่ผ่านมา จะมีการปรับหัวฉีด,เทอร์โบ และ ล่าสุดปรับกล่องควบคุม รวมถึง อาจปรับจูนการเซทเกียร์ใหม่เท่านั้น
ด้วยมาตรการทางภาษีที่ออกมาตามเงื่อนไขล่าสุด และจะบังคับใช้ในปี พ.ศ. 2569 เป็นต้นไป เครื่องยนต์ดีเซล ที่มีขนาดไม่เกิน 3,250 ซีซี ถ้าปล่อยไอเสียต่ำกว่า 185 กรัมต่อกิโลเมตร จะได้รับสิทธิทางภาษีสรรพสามิต ลดลง 3% เหลือเพียง 6% จาก 9% ในปัจจุบัน
เป็นการชักจูงที่น่าสนใจ จนแม้แต่โตโยต้ายังมองเป็นเรื่องหอมหวาน แนะนำเครื่องยนต์ 2.8 ลิตร พยายามปล่อยไอเสียต่ำ ลดลงเหลือเพียง 185 กรัม/กิโลเมตร
ถึงยังไม่พิชิตได้ตามเป้าทางรัฐ ทว่าก็นับเป็นความพยายามสำคัญ ชักธงรบเปิดศึกเครื่องใหญ่ภาษีถูก ที่น่ากลัวไม่น้อย กับอีซูซุ ยิ่งถ้าทำสำเร็จ อาจทำให้ รถขายได้ในราคาเดิม แต่มีกำไรต่อคันเพิ่มขึ้น
สำหรับเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร จากอีซูซุ ปัจจุบันปล่อยไอเสียที่ 190 กรัมต่อกิโลเมตร แม้จะไม่ได้ต่างกันในแง่ภาษีที่ต้องเสียให้กับภาครัฐ แต่ถ้าคู่แข่งชนะในศึกนี้ อาจเป็นความเสียหายครั้งใหญ่
สู่ตลาด 2.8 กลุ่มนี้คนไทยคุ้น
ถ้าจะถามว่าขนาดไหน น่าจะเหมาะสมที่สุด ก็คงจะเป็นลดขนาด ลงมาเหลือ 2.8 ลิตร ซึ่งทั้งคนไทยและทั่วโลกให้การยอมรับ
ย้อนไปยุค เชฟโรเล็ต ยังทำตลาดในไทย เราต้องพูดถึง เพราะ พวกเขาเคยเป็นพันธมิตร อีซูซุมาก่อน
ถึงเครื่องยนต์ Duramax 2.8 รหัส XLD28 จะเป็นขุมพลังที่ทางเชฟวี่ พัฒนาขึ้นมาเอง เพื่อใช้กับกระบะและอเนกประสงค์ของพวกเขา (ไม่รู้ว่ามีการใช้พื้นฐานจากอีซูซุหรือไม่) แต่ก็นับว่าประสบความสำเร็จไม่น้อย และเป็นบทเรียนสำคัญให้ทางอีซูซุ

ในแง่ของกำลังที่สามารถเบ่งพลังสูงสุดก่อนจากลาได้ 200 แรงม้า และทำแรงบิดสูงสุดได้ 500 นิวตันเมตร และยังเป็น 2.8 ลิตร ที่ยังแรงติดอันดับอยู่ในตารางเครื่องยนต์ดีเซลยุคใหม่
เช่นกัน มิตซูบิชิ ก็เคยทำเครื่องยนต์ 2.8 ลิตรออกมาขาย ในช่วง Mitsubishi Strada แถมส่งขายทั่วโลก
ก่อนยุบเป็นบล็อกกลางเพียงรุ่นเดียว 2.5 และ 2.4 ลิตร ในปัจจุบัน
ปัจจุบันอาจจะเหลือเพียงโตโยต้า ที่ย่อขนาดเครื่องยนต์ลงมาเป็น 2.8 ลิตร ในรุ่น GD Effiient Boost ตั้งแต่ในยุค Toyota Hilux Revo ต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน
ไม่เพียงเท่านี้ ในแง่การพัฒนาเครื่องยนต์ การลดขนาดเป็น 2.8 ลิตร ยังค่อนข้างสมเหตุผล เนื่องจากอาจยังใช้บล็อกเครื่องเดิมได้ ไม่ต้องพัฒนาตัวเสื้อสูบใหม่
เพียงปรับแต่งเพิ่มรายละเอียดห้องเผาไหม้ใหม่ อาทิ ข้อเหวี่ยง ช่วงชัก (ความยาวก้านสูบ) และ ขนาดลูกสูบ ที่เหลือเพียงปรับจูนอีกนิดหน่อย ก็แทบจะพร้อมเป็นเครื่องยนต์รุ่นใหม่

พัฒนาได้เร็ว งบประมาณไม่บานปลาย สำคัญที่สุดตรงกับจริตการทำงานของอีซูซุ พยายามปรับไปทีละนิด ไม่ค่อยมาแนวทุ่มทุนสร้าง คล้ายกับที่เกิดในตอน 1.9 เป็น 2.2 ลิตร
เพียงครั้งนี้กลับทางจากเพิ่มขนาด เป็นการลดขนาดลงมาให้เหมาะสม
นอกจากนี้ย้อนไป 20 ปีก่อน อีซูซุก็เคยทำตลาดเครื่องดีเซล 2.8 ลิตร มาก่อน จะขยายขึ้นมาเป็น 3.0 ลิตร ในยุคเครื่องยนต์ดีเซลแข่งเรื่องพลังขับ แต่วันนี้เครื่องใหญ่กว่าไม่ได้ทำกำลังมากกว่า
ยิ่งกว่านั้นหากลดขนาดลงมาเป็น 2.8 จะเป็นการต่อสู้ตรงๆกับคู่แข่งรายสำคัญ โตโยต้า อีกครั้ง ซึ่งครองตลาดกลุ่มนี้และอีซุซุเสียลูกค้าจำนวนหนึ่ง จากการมีเครื่องยนต์ใหญ่เกินไป แต่พลังขับไม่ได้เหนือกว่าคู่แข่ง
นอกจากนี้ โตโยต้าดูจะมีก๊อกสอง ในการเอาระบบ mild Hybrid เข้ามาติดตั้งตอบสนองการใช้งานของลูกค้า ซึ่งวันนี้อาจยังเดินทางมาไม่ถึงไทย แต่คาดว่าจะอีกไม่นานนี้
ถ้าอีซูซุไม่ปรับเครื่องยนต์ แนวต้านเดียวไม่ให้โตโยต้าผูกขาดเครื่อง 4 สูบขนาดใหญ่ อาจไม่มีใครต้านได้ เพราะ ฟอร์ด รวมถึงค่ายจีน ต่างวางแนวเป็นเครื่องยนต์ใหญ่ต้อง 6 สูบเท่านั้น
3.0 เกียร์ 8 สปีด อาจเป็น ไพ่ใบสุดท้ายก่อนทิ้งทวน
อย่างไรก็ดี , เราต้องยอมรับกันเปิดอกว่า การปรับขนาดเครื่อง น่าจะเป็นไพ่ตายใบสุดท้าย
โดยเฉพาะเมื่อภาครัฐ เลื่อนการบังคับใช้มาตรฐานยูโร 6 เป็นพ.ศ. 2572 หมายความว่า อีซูซุ อาจจะเลือกปรับเครื่องยนต์ เมื่อถึงตาจนจริงๆ คือในอีก 2-3 ปี ยกเว้นแต่จะมาเร็วกว่านั้น เพื่อสร้างยอดขาย ซึ่งกำลังอยู่ในจุดที่ไม่สู้ดีนักต้องมีของมาเติม เพื่อสร้างยอดขาย

ก่อนหน้านั้น แนวทางที่ดูจะเป็นไปได้มากที่สุด คือ การปรับปรุงชิ้นส่วนเกี่ยวเนื่อง
หลายคนเก็งว่า อีซซู อาจทดเวลาบาดเจ็บ ติดตั้งเกียร์ออโต้ 8 สปีด เข้ากับเครื่องยนต์ 3.0 ลิตรก่อน
การติดตั้งเกียร์อัตราทดเยอะ ช่วยควบคุมรอบทำงานเครื่องยนต์ พอจะช่วยลดการปล่อยไอเสียได้บ้างเล็กน้อย (แต่อาจยังไม่ดีพอจะลดไอเสีย จนเข้าเกณฑ์ลดภาษี)
เรื่องนี้ ในระหว่างการเปิดตัวเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ก็มีนักข่าวถามเช่นกัน
ทางผู้บริหาร อีซูซุ ก็ดูมีท่าทีรับฟัง และไม่ปิดกั้นความเป็นไปได้ ที่เราอาจจะเห็นเกียร์ลูกใหม่ ขี่ม้าขาวมาช่วย เครื่องยนต์ 3.0 ในตำนาน ก่อนจะโบกมือลาในยุคหน้า
มาถึงตรงนี้ เราพอจะเห็นทิศทาง หมากเกมอีซูซุ ที่จะต้องเดินหน้ากับเครื่องยนต์เดีเซล 3.0 ลิตร 4 สูบ เจ้าตำนาน
อีซูซุ จะเดินทางไหน เป็นเกมที่ทุกคนจับตา แม้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ จะไม่ใช่ตลาดหลักรถกระบะ
แต่เมื่อโลกวันนี้มองถึงการลดการปล่อยไอเสีย และมีกฏที่ทุกคนต้องลงเล่น อีซูซุคงจะยืดต่อจากนี้ไปได้ไม่นาน
เวลาของเครื่องยนต์ 3.0 กำลังเข้าสู่ช่วงต่อเวลา ก่อนอำลาในวันหน้า
ใครอยากได้ กระบะ 4 สูบ เครื่องใหญ่ นี่น่าจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่ควรซื้อแล้วครับ