หลังจากปีที่แล้ว ฮอนด้าถูกจับตามองในการจับมือกู้วิกฤติ นิสสัน จนหลายคนต่างเอาใจช่วยค่ายทั้งสองให้ครองรักกัน
วันนี้ Honda กลับมาเขย่าวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่น ประกาศยุทธศาสตร์สำคัญลดความสำคัญ กับรถยนต์ไฟฟ้า แล้วเดินหน้าไปต่อกับไฮบริดรุ่นใหม่ ซึ่งมีทีท่ามาพักใหญ่แล้ว
ในหลายปีทีผ่านมา ฮอนด้าได้จับมือกับผู้ผลิตค่ายจีน อาทิ GAC และ Donfeng พัฒนารถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเริ่มจำหน่ายในประเทศจีน รวมถึงยังมีการพัฒนาในญี่ปุ่นในชื่อ “Honda Prologue” ออกส่งขายอเมริกา 2023 เป็นต้นมา
แต่ในที่สุดเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ฮอนด้าดูมีทิศทางที่ชัดเจนและมั่นคงมากขึ้น กับระบบไฮบริดของพวกเขา โดยมีการเปิดเผยข้อมูลระบบ E:hev รุ่นต่อไปออกมา

วันนี้ (20 พฤษภาคม 2568) ฮอนด้า นำโดยบอสใหญ่ นาย โทชิฮิโระ ไมเบะ” (Toshihiro Mibe) ออกมา ประกาศจุดยืนใหม่ของแบรนด์ Honda ทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์อย่างชัดเจน (ในบทความนี่ขอโฟกัสไปที่รถยนต์ก่อน เนื่องจากมีหลายประเด็นสำคัญและน่าสนใจ )
ประเด็นแรกที่พูดถึง เป็นไวรัลทันที ตั้งแต่การแถลงข่าวจบลงหนีไม่พ้น การตัดสินใจพักรักกับการทุ่มทุนเร่งผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งที่ฮอนด้าเริ่มมาทรงดีพอไปได้เมื่อเทียบกับหลายค่าย อาทิเริ่มขาย Honda e:N1 ในประเทศไทย และยังมีรถยนต์รุ่นใหม่ อย่าง Honda S7/P7 เพิ่งเปิดตัวหมาดๆในประเทศจีน มีความสนใจไม่น้อย
ก่อนจะล่วงไปถึง สิ่งที่บอสใหญ่ฮอนด้า พูดถึงเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เป้าหมายแบรนด์ฮอนด้า มี 2 เรื่องสำคัญ ที่ถูกวางเป็นโจทย์สำคัญในแผนระยะยาว ได้แก่
- ทางด้านความปลอดภัย มีเป้าหมายในการลดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตในรถยนต์ฮอนด้าในปี 2050
- ทางด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม วางเป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี 2050
การมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
เรื่องแรกที่ นายไมเบะ เล่าในการแถลงข่าวครั้งนี้ และเป็นประเด็นที่หลายสื่อจับมาตั้งคำถาม รวมถึงมองฮอนด้าในหลายมุม หนีไม่พ้น แผนพักรัก EV กลับไปซบอกไฮบริด หลังทำตลาดและลงทุนไปมากมาย
เขากล่าวอย่างน่าสนใจว่า ทางบริษัทยังคงจะมีเป้าในการขายรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮโดรเจน 100% ในปี 2040 หรือราวๆ 15 ปีต่อจากนี้
แต่ฮอนด้า ก็เริ่มมองว่า การลด Co2 ไม่ควรนับหรือมองเพียงในระหว่างที่ลูกค้าใช้รถ แต่ควรต้องมองทั้งกระบวนการสร้างรถ จนสิ้นอายุขัย นั่นรวมถึงขั้นตอนการผลิต และการทำลายแบตเตอร์รี่ด้วย
แม้ฟังเหมือนฮอนด้าหมดรักกับ EV แต่ผู้บริหารใหญ่ฮอนด้า ยอมรับว่าในการลดการปล่อยมลภาวะในระยะยาว รถยนต์ไฟฟ้า ถือเป็นหัวหอกหลักในการมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ร่วมกับรถยนต์ไฮโดรเจน ที่จะออกมาในอนาคต
สะบั้นรักกับ นิสสัน ไม่มีรีเทิร์น
ฮอนด้ายอมรับว่า การลดมลภาวะและมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ไม่ใช่เรื่องที่ฮอนด้าสามารถทำได้บริษัทเดียวต้องทีพาร์ทเนอร์ที่จะต้องมาร่วมด้วยช่วยกัน
ในการนี้ ซีอีโอ ฮอนด้า เผยว่า สำหรับใครที่ลุ้นว่า ฮอนด้าจะกลับมาจูบปากกับทางนิสสันหรือไม่ ในอนาคต ทางบริษัทขอยืนยันว่า ทางบริษัทจะยังมีการร่วมมือกับทางนิสสันในด้านอื่นต่อไป

แต่จะไม่มีการพูดถึงการควบคุมกิจการหรือ ทำการประยุกต์ทางธุรกิจใดๆ อีก
หรือพูดง่ายๆ แม้ นิสสัน จะเปลี่ยนตัวผู้บริหารคนใหม่ นาย อีแวน เอสปิโนซ่า ขึ้นมา เพื่อหวังจะกลับมาเคาะประตูขอความช่วยเหลือ เผื่อยังมีโอกาสหลงเหลือบ้าง แต่ชัดเจนแล้วว่าโอกาสทองสำหรับนิสสันผ่านไปแล้ว
มุ่งไฮบริด แต่ไม่ได้ทิ้งไฟฟ้า
เมื่อมาดูตัวเลขทางด้านยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของทางฮอนด้าเอง ฮอนด้า ชี้ว่า นี่เป็นประเด็นสำคัญ ที่ทำให้ต้องมีการกลับลำ เพราะจากที่มีการคาดการณ์ยอดขายในปี 2024 ปรากฏว่า เมื่อสิ้นปีบัญชีกลับพบว่า ยอดขายจริงต่ำกว่าที่คาด
แถมรถยนต์ไฟฟ้ายังมีขวากหนามอีกมากมาย จนการเปลี่ยนผ่านยากขึ้น อาทิ นโยบายทางการค้า ทางฮอนด้าคาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะยังไม่พุ่งทะยานมากกว่า 30% ในปี 2030 อย่างแน่นอน
นำมาสู่การตัดสินใจในการหันมาเอาดีทางด้านรถยนต์ไฮบริดต่อ ข้อดีของรถไฮบริดคือ มันไม่ต้องพึ่งโครงสร้างพื้นฐานเหมือนรถยนต์ไฟฟ้า (สถานีชาร์จ) สะดวกต่อการใช้งานมากกว่า
และในเมื่อความต้องการของระบบไฮบริดมีความต้องการค่อนข้างสูง ทางฮอนด้าจึงเตรียมแนะนำระบบไฮบริดใหม่ออกวางจำหน่ายในปี 2027 โดยระบบใหม่นี้ จะยังมุ่งเน้นการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน และยังให้การตอบสนองการขับขี่และลดการปล่อยไอเสียสูงขึ้นกว่าปัจจุบัน
ระบบไฮบริดใหม่ มีความประหยัดน้ำมันมากขึ้นจากปัจจุบันราวๆ 10% (ประหยัดกว่าปัจจุบัน 3-4 ก.ม./ลิตร มีความเป็นไปได้สูงที่อาจทำตัวเลข 30 ก.ม./ลิตร ในรถบางรุ่น โดยเฉพาะรถขนาดเล็ก) และมีต้นทุนในการผลิตต่ำลง 50% โดยแบ่งแยกแพลทฟอร์มออกเป็น แพลทฟอร์มรถขนาดใหญ่และ แพลทฟอร์มรถขนาดเล็ก
ระบบมีการปรับปรุงทางด้านการจัดการพลังงานและการระบายความร้อนแบตเตอร์รี่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น กว่าปัจจุบัน และก่อนหน้านี้ ฮอนด้าประกาศนำเสอนแพลทฟอร์มหใม่ ร่วมกับระบบขับเคลื่อนไฮบริดในอนาคต
ส่วนระบบไฮบริดจากผู้ผลิตชิ้นส่วนอื่นนั้นจะมีการปรับใช้กับรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์ Plug in Hybrid ของแบรนด์
รวมถึงฮอนด้า จะนำเสนอ ระบบขับเคลื่อนไฮบริดแบบ All Wheel Drive ในอนาคต บริษัทมั่นใจว่าจะเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดระบบหนึ่งของโลก
อ่านข้อมูล Next Generation e:hev ได้ที่นี่
เบื้องต้น ฮอนด้าจะมีแนะนำรถยนต์ไฮบริดใหม่ทั้งหมด 13 รุ่น ออกสู่ตลาด โดยจะเริ่มตั้งแต่ปี 2027 เป็นต้นไป จนสิ้น ทศวรรษนี้ ทั้งหมดจะมาพร้อมระบบไฮบริดใหม่ และระบบความปลอดภัยรุ่นใหม่ทำงานร่วมกัน รวมถึงยังได้ตรา โลโก้ H Mark ใหม่ด้วย
หรือ อาจพูดตรงไปตรงมาว่า ฮอนด้าไม่ได้เลิกเล่น EV พวกเขาเพียงตัดสินใจใช้ฐานจากไฮบริดในการสร้างเม็ดเงินลงทุนต่อยอดในอนาคต เพื่อมุ่งสู่การเป็นทำรถยนต์ไฟฟ้าและรถไฮโดรเจนในอนาคต นั่นเอง
ระบบ ADAS ใหม่ คือ พระเอก เช่นกัน
ไม่เพียงระบบไฮบริดเท่านั้น ทด้วยเป้าหมายทางด้านความปลอดภัย รถที่มาพร้อมระบบไฮบริดใหม่ จะมาพร้อมกับ ระบบความปลอดภัยใหม่ในอนาคต
ระบบ ADAS รุ่นถัดไปของฮอนด้า จะถูกยกระดับให้มีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนหน้า และสามารถรองรับการขับอัตโนมัติได้หลากหลายสถานการณ์มากขึ้น
สามารถทั้งควบคุมทิศทางและ เร่ง หรือ เบรก ได้อัตโนมัติ และยังบทำงานได้ในสภาพเส้นทางทุกแบบ ตั้งแต่ช้วยจอดอัตโนมัติในลานจอดรถ ไปยัน ถนนในเมือง ,ทางด่วน หรือ ขับบนทางหลวง
ระบบนี้จะทำงานร่วมกับระบบวางแผน (เข้าใจว่า น่าจะเป็นแผนที่) และยังสามารถจดจำ และเข้าใจพฤติกรรมในการขับขี่ได้ด้วย
ที่น่าสนใจที่สุด อัตราประหยัดที่เพิ่มขึ้นของระบบ next Generation e:HEV มีความเกี่ยวเนื่องกับระบบ ADAS ซึ่งจะกลายเป็น “มาตรฐานใหม่” ติดตั้งในรถฮอนด้าทุกรุ่น เริ่มจากญี่ปุ่นและอเมริกา
ยืดแผนออกไป แต่อนาคต ก็ยังต้อง EV
แม้ทางฮอนด้า อาจจะดูเริ่มไม่ยี่หระ กับรถยนต์ไฟฟ้า เหมือนที่เร่งมือมาตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา ก็เปิดอกยอมรับว่า ฮอนด้าจะนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้า Honda0 Series รุ่นแรกในปีหน้า จะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการณ์ใหม่ Asimo Os ที่ถือเป็นก้าวแรกของรถยนต์ SDV (Software Define Vehicle)
ในแง่การผลิต ฮอนด้า จะเริ่มใช้การผลิตแบบควบรวมผสมผสาน โดยในไลน์การผลิตฮอนด้าที่มีในปัจจุบันสามารถผลิตทั้งรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าได้พร้อมๆ กัน ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป
ส่วนโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะของฮอนด้า จะเกิดขึ้นในราวๆปี 2030
ปัจุจบันแผนการลงทุนในแคนาดา ชะลอออกไปอีก 2 ปี จากแผนเดิม
จากภาพรวมที่บอสใหญ่ฮอนด้า ออกมาแถลงไขวันนี้ ชัดเจนในหลายเรื่องที่จะมุ่งสู่อนาคตอย่างมีเป้าหมาย
- ฮอนด้าไม่ได้ทิ้งรถยนต์ไฟฟ้า แค่ชะลอการลงทุนออกไปและพร้อมเมื่อสิ้นทศวรรษ
- รถยนต์ไฟฟ้า จะเริ่มจริงจังมากขึ้นในปี 2026 ผ่าน รถ Honda 0 Series
- รถไฮบริดจะเป็นตัวชูโรงทำกำไร เนื่องจากมีความต้องการสุงจากหลายตลาด
- 2 เป้าหมายสำคัญ ยังอยู่ในทิศทางและธงเป้าหมายเดิม ที่วางไว้ในปี 2025
- แนะนำระบบไฮบริดใหม่ พร้อมระบบ ADAS ใหม่ ในปี 2027 เป็นต้นไป
แม้หลายคนอาจจะมองว่า ฮอนด้า มาแบบค่ายอื่นที่เดินหน้าวกกลับไปซบอกไฮบริด แต่พวกเขา ทำอย่างมีเป้าหมายและ จะยังคงทิศทางสำคัญไว้ คือ การเป็นรถที่ให้คุณค่าคนมากกว่าเครื่องจักร และยังเพิ่มความมั่นใจด้านความปลอดภัย และ การลดไอเสียด้วย ที่ทุกคนเข้าถึงและมีส่วนร่วมได้
มันไม่ได้หมายความว่า ชะลอรถยนต์ไฟฟ้าแล้วหันไปทำลายโลก แต่รอโอกาสเหมาะที่จะทำให้คนเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าที่แท้จริงในทศวรรษหน้าอย่างมีชั้นเชิง
ฮอนด้า ไม่ขอเลือกเป็นค่ายที่ก้าวกระโดดไปสู่ เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าเร็วที่สุด แต่พวกเขาเลือกที่จะไปแบบมั่นใจว่ายังไงไปถึงเส้นชัยเป้าหมายที่วางไว้แน่
นั่นไม่ต่างจากการแข่งรถในสนามเซอร์กิต บางครั้งคุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เร็วต่อรอบที่สุดในสนาม จึงจะมีสิทธิยืนโพเดี้ยม แต่มันต้องรู้จังหวะ มองเห็นโอกาส ในเวลาที่เหมาะสม เสียบแซงไปในโค้ง ประชิดผู้นำ และเปลี่ยนจากผู้ตามมาสู่ความเป็นผู้นำ
เพราะความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ไม่ได้มาจากการวิ่งเร็วที่สุด…
แต่มาจาก “วิ่งอย่างเข้าใจทิศทาง” — และฮอนด้ากำลังพิสูจน์มัน ด้วยกลยุทธ์ที่เรียบ แต่อาจแรงกว่าในระยะยาว
ข้อมูลประกอบบทความจาก ฮอนด้า