นิสสัน เดินเกมส่งท้ายปีด้วยรถยนต์อเนกประสงค์ Nissan X-Trail e-Force เปิดตัวอย่างเป็นทางการส่งท้ายปีในงาน Motor Expo 2025

การกลับมาของ X-trail ใส่เต็มความน่าสนใจด้วยการบุกตลาดอเนกประสงค์ เป็นรถแบบ 7 ที่นั่ง และที่สำคัญ รุ่นนี้ไม่ลืมจะวางมาตรฐานระบบขับเคลื่อน All-Wheel Drive Nissan เรียกมันว่า Nissan e-Force
ระบบนี้เป็นการเอาความรู้จากสนามแข่งรถสูตรพลังไฟฟ้า Formula e มาสู่ถนน ยกระดับ Nissan e-Power ไม่เพียงแค่เหมือนรถยนต์ไฟฟ้าไม่ต้องชาร์จ งวดนี้วางหมากให้ขับมั่นใจในทุกสภาวะการณ์และเป็นไปตามใจคิดของผู้ขับขี่
ระบบ e-Force ทำงานผ่านมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ติดตั้งเข้าทางด้านหน้าและหลัง แล้วจับเอาเซนเซอร์จากระบบต่างๆมาประมวลผลใช้ในการเสริฟแรงบิดไปยังล้อทั้งสี่ เหมือนวงออสเคสตร้า ที่วันนี้มีไวทยากร มายืนบอกควรจะบรรเลงยังไง
ทั้งหมดเป็นไปได้ด้วยการใส่ซอฟแวร์ประหนึ่ง Ai มีหน่วยประมวลผลกลางของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ นำข้อมูลจากระบบที่มีอยู่แล้วมาใช้ให้เป็นประโยชน์
ข้อมูลเหล่านี้ถูกนำมาแปรข้อมูลผ่านหน่วยประมวลผลกลาง คาดเดาการเคลื่อนไหวของรถพร้อมกันนั้นระบบยังจะเรียนรู้และช่วยสนับสนุนการขับขี่ ไปตามที่ผู้ขับขี่ต้องการ
ลองครั้งนี้ จัดในสนามทดสอบ
นิสสัน คงรู้ดีว่า มันไม่ง่ายที่จะทำให้คนทั่วไปเข้าใจ หลังจากมอเตอร์โชว์ไม่นาน ชายเบนซ์ หนุ่มหล่อจากทีม PR นิสสัน ยกหูบอกกับผมแทบจะไม่กี่วันก่อนจบงานว่า จะมีการขับทดสอบรถคันนี้ในสนาม

สาเหตุที่นิสสัน เลือกทดสอบในสนาม ไม่ใช่บนถนน เพราะอยากโฟกัส ระบบขับเคลื่อน All-wheel Drive
ปกติแล้ว สนามที่ผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่เลือกใช้ มักจะเป็นสนามแข่ง นิสสัน กับเลือกใช้สนามทดสอบยางของบริษัทยางค่ายหนึ่ง ที่ชื่อเหมือนเมืองที่สำนักงานใหญ่ ด้วยสนามสามารถจำลองการขับทดสอบฝนตกได้ ในยามกลางวัน บนเส้นทางคดเคี้ยวหรือ ที่วิศวกรเรียกว่า Winding Road
ถ้าในไทยมีสนามไหนทำตัวเป็นเมืองหิมะย่อมๆได้ ผมมั่นใจว่า นิสสันก้คงจะเลือกไปที่นั่นมากกว่าเช่นกัน
เจอ Nissan X-trail e-force งวดนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เมื่อเดือนตุลาคม ตอนไปทำงานมอเตอร์โชว์ที่ญี่ปุ่น แอบไปเช่าลองขับหวดเบื้องต้น พอจะรู้ไส้รู้พุงมันมาบ้าง
รุ่นที่ขายในไทยเหมือนกับที่ขายในญี่ปุ่นทุกประการ ยกเว้นหน้าตาภายนอก มาในสไตล์หรู บางคนแอบรู้สึกจะขายทั้งที ทำไมไม่เอาหน้าใหม่มา
หลายคนไม่ทราบ หน้าตารุ่นนี้ นิสสันตั้งใจยกระดับเอ็กซ์เทรลให้มีความพรีเมี่ยมกว่าเดิม
จุดเด่นทางด้านตัวรถ คือประตูหลังสามารถเปิดได้ 85 องศา ค่อนข้างกว้างพอสมควร ขึ้นลงสะดวกมาก สำหรับสายครอบครัว และผู้ใหญ่ สว.
ทางด้านในห้องโดยสารก็จัดเต็มด้วยเบะานั่งรองรับการโดยสารสูงสุด 7 ที่นั่งในแบบ 5+2 คือ แถว 3 เอาไว้เผื่อว่าคุณญาติเยอะมีคนเดินทางด้วย ไม่ใช่แนวเดินทางประจำ
ไม่เพียงเท่านี้ข้าวของทางด้านความหรูหรา ยังเต็มเปี่ยมด้วย ม่านบังแดด ,แอร์แยก 3 โซน, หลังคากระจก และสามารถเปิดได้ตอนหน้า ,เครื่องเสียง Bose ทุกอย่าง ถูกวางไว้อย่างครบครันลงตัวในการใช้งาน
รถคันนี้เป็นได้ทั้ง รถครอบครัว หรือจะเปลี่ยนหน้าที่เป็นรถผู้บริหารก็ได้แล้วแต่ว่าคุณจะต้องการให้มันรับใช้ในหน้าที่ไหน
นิสสัน ตัดสินใจจัดเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรเทอร์โบ พร้อมระบบแปรผันกำลังอัดมาใช้ในการปั่นไฟ บางคนคิดว่ามันแปลก
แต่ผมถามทีมวิศวกร เพื่อคลายสงสัย ทีมวิศวกรบอกว่า ก็มันจะได้ปั่นไฟเร็ว ลดเกิดอาการเต่างอยคอย ซึ่งจะทอนกำลังขับยามจัดหนักขึ้นทางเขาต่อเนื่องสูงชัน
เครื่องยนต์มพร้อมระบบกำลังอัดแปรผัน ช่วยในการประหยัดน้ำมัน ปกติเครื่องยนต์จะใช้กำลังอัดสูง จนกระทั่งเทอร์โบทำงาน จึงจะปรับใช้กำลังอัดต่ำ เพราะมีแรงดันเทอร์โบมาเสริมพลัง
ยิ่งฟัง อาจจะยิ่งแปลกแต่เข้าใจได้ว่า ในจังหวะทั่วไปก็ประหยัด จังหวะเทอร์โบทำงานก็ลดกำลังอัด ไม่ต้องใช้น้ำมันเพิ่มมาก ช่วยให้ประหยัดเหมือนกัน
ตอนที่ขับในญี่ปุ่น ผมตั้งใจไปดูภูเขาไฟฟูจิ ขับความเร็ว80-110 ก.ม./ช.ม.แล้วแต่สภาพทางจะเอื้อ จบตัวเลขที่ 15.8 ก.ม./ลิตร จากน้ำมัน เบนซิน 91 อาจไม่ใช่ตัวเลขหวือหวา เมื่อคิดว่าคู่แข่ง มีตัวเลขที่ดีกว่านี้
แต่สำหรับผม ถือเป็นตัวเลขที่ดีกว่า รถอเนกประสงค์สันดาปขับสี่ 2.0 ลิตรเทอร์โบ ที่เคยขับในอดีต อยู่พอสมควร
ลอง e-Force ขับสี่ไฟฟ้าที่ไม่เหมือนใคร
การลองขับในวันนี้ เราจะเน้นที่การขับเคลื่อนสี่ล้อก่อนเป็นหลัก เนื่องจากเป็นสิ่งที่หลายคนสนใจและไต่ถามกันมาก ว่า มันดีอย่างไร
ข้อเด่นสำคัญ คือระบบใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ไม่มีการต่อเพลาจากเครื่องยนต์ หรือมอเตอร์ระหว่างหน้าหลัง เพื่อทำให้มันเป็นระบบ All-Wheel Drive
ในทางเทคนิค มอเตอร์ไฟฟ้าจะตอบสนองเร็วอยู่แล้วมีสิ่งที่เรียกว่า “Instant Torque” ในการทำงานทั้งการเร่งและการชะลอ , พร้อมกันยังลดชิ้นส่วนอย่างเพลาขับกลาง อุปสรรคของวิศวกร ในการสร้างสมดุลรถขับสี่

นอกจากนี้ที่ผ่านมาระบบขับสี่ส่วนใหญ่จะใช้ ระบบควบคุมการทรงตัวและกระจายแรงบิดเป็นตัวประกอบ ช่วยเพิ่มความมั่นใจ
แต่นิสสันเลือกจะเอาข้อมูลมารวมในการประมวลผลแทนเพื่อให้จังหวะการกระจายแรงบิดที่ถูกต้อง ไม่เพียงแค่หน้าปละหลัง แต่ยังรวมถึงซ้ายและขวา เสมือนมีระบบ Limited Slip Diferential รถสปอร์ต
แตกต่างเพียงที่พูดมาทั้งหมดนั้น เป็นเพียงการใช้ซอฟแวร์เข้ามาควบคุมการจ่ายและควบคุมแรงบิดผ่านอุปกร์ต่างๆ
ทางนิสสัน กล่าวว่า หัวใจสำคัญของระบบ Nissan e-Force ต้องการมอบ 3C ให้ลูกค้า คือ
- Control
- Confident
- Comfort
ไม่รอช้าลงสนาม เรามีเวลาเพียง 30 นาที ในการเก็บข้อมูล และมาบอกเล่าเพื่อนๆ นิสสัน เตรียมเส้นทางให้เรา 2 แบบคือ ถนนลื่นประหนึ่งในวันฝนตก และทางแห้ง มีทั้งโค้งกว้างโค้งแคบให้ขับกันมันส์

ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ All Wheel Drive จะประเสริฐสุดตอนเราขับกลางฝน
คุณเชื่อมั้ยว่า ทุกครั้งที่ผมคิดว่าจะขาย Subaru XV พอเข้าหน้าฝนคราวใดขายน้องไม่ลง จนงอก Tank 300 มาอีกคัน น้องซูบารุ สุดท้ายนายได้อยู่ต่อแก่ไปด้วยกัน
เส้นทางฉ่ำแฉะถนนลื่น คือพื้นที่วาดลีลาของAWD สถานการณ์อาจต่างไปบ้าง ตรงวันนี้แดดจัดแต่น้ำนอง ถ้าเป็นวิศวกรซีเรียส เขาจะพูดว่า อุณหภูมิยางมันไม่เหมือนเสียทีเดียว
วิ่งในแทรคลองทางไม่นาน ผมลองจัดเต็ม แต่บอกก่อนว่าสภาพเส้นทางที่ได้ขับในวันนี้ เหมือนถนนตามชนบทพบได้ทั่วไปขนาดถนนกว้างราวๆ 3-4 เมตร
ทางพาเราวิ่งวนไปรอบๆ มีโค้งทุกแบบที่นึกออก ลับตาบ้างมองเห็นบ้าง

สัมผัสแรกรถดูนิ่งเป็นพิเศษ มากกว่าขับสี่อย่าง ซูบารุ ที่ผมคุ้นเคย อาการโคลงตัวของรถ ซ้าย-ขวาไม่ได้มากมายนักอย่างที่คิด พอเข้าโค้งระบบแสดงความนิ่ง จัดการแรงบิดระหว่างล้อในและนอก ไปพร้อมกับล้อหน้าและหลัง ทำงานทั้งสองแกนไปพร้อมกัน
ลดภาระของช่วงล่าง ที่ต้องโหนกับแรงเหวี่ยง ทำให้อาการโคลงหรือเอี้ยวตัว ส่งมาถึงคนขับและผู้โดยสารน้อยมาก ผมไม่รู้สึกว่าต้องโหนพวงมาลัย ขับสบายๆชิลๆ
ผมเล่นโค้งด้วยความเร็ว 50-70 ก.ม./ช.ม. แม้จะค่อนข้างน้อยเทียบกับในสถานการณ์จริง คุณอาจใช้ความเร็วมากกว่านี้บนถนน

รู้สึกได้ทันที ว่ารถไปตามใจสั่งมากกว่า นิสสัยของรถที่มาพร้อมระบบ All-Wheel Drive จะมีอาการขัดขืนในระหว่างการเปลี่ยนทิศทางให้พวงมาลัย แต่ e-force กับทำให้มันง่าย เลี้ยวได้ค่อนข้างคม ถูกใจพ่อบ้านสายขับ
ระหว่างขับรถแทบไม่เสียอาการแม้จะใช้ความเร็วเพิ่มขึ้น ระหว่างการทดสอบได้ลองขับในจังหวะ SkidPad การเข้าโค้งด้วยความเร็ว ถ้าสุดความสามารถที่รถทำได้มันจะพยายามออกอาการ UnderSteer ให้เห็น
เมื่อเราผ่อนระบบจะตอบสนองเร็วดึงรถกลับทันควันแบบนุ่ในวลในสไตล์ขับสี่ที่ แรงยึดเกาะถนนกลับมา ไม่ใช่การใช้ระบบควบคุมการทรงตัวเข้าจัดการแบบขับสี่เชิงกลไกล
อีอย่างที่เราเจอได้ในวันฝนตก คือน้ำท่วมขัง ถ้าเราใช้ความเร็วจะมีอาการ “เหิรน้ำ” e-Force จัดการปัญหานี้ด้วยการจับล้อที่มีการลื่นไถล หรือจังหวะรอบหมุนล้อเยอะกว่าเพื่อแล้วเอากำลังไปยังล้อที่ถ่ายกำลังลงพื้นได้ดี
ความรู้สึกนี้ ผมเคยสัมผัสในระบบของค่ายเยอรมันตราพัดฟ้า ทำได้ดีพอๆกัน แม้เข้าโค้งมา เจอแอ่งน้ำข้างหน้า พารถแตะแอ้งน้ำจนน้ำบาน ระบบจะเปลี่ยนปรับการจ่ายแรงบิดของล้อหน้าหลัง จนไม่มีอาการเป๋ หรือถ้ามี ก้น้อยมากๆ
ขับไม่เก่งก็เก่งได้
ผ่านทางแฉะๆมาเข้าสู่บนถนนแห้ง ผมอาจจะลืมบอกไปเลยว่า Nissan X-trail e-force มีโหมดการขับขี่ทั้งหมด 5 โหมด แต่ละโหมดไม่เพียงปรับการตอบสนอคันเร่ง เท่านั้น ยังปรับการตอบสนองการทำงานของระบขับเคลื่อน All Wheel Drive ด้วย
ในโหมดปกติ หรือ Auto ทีมงานนิสสันชาวญี่ปุ่นบอกกับผมว่า พวกเขาตั้งใจทำให้ระบบกระจายแรงขับระหว่างหน้าและหลัง ในอัตรา 70/30

อัตราส่วนดังกล่าวเปลี่ยนไปเมื่อคุณปรับเป็นโหมด “สปอร์ต” ค่าตั้งต้นจะเซทเป็น 60/40 ส่วนในโหมดถนนลื่นและออฟโรดจะแบ่งเป็น 50/50
แต่ทุกโหมดสามารถจัดการแรงบิดแปรผันได้ตามสภาพการขับขี่จริง ณ สถานการณ์ที่เกิดขึ้น
รอบแรกผมลองในโหมด Auto ขับผ่านโค้งต่างๆ ในทางแห้งๆ รถจะเน้นการให้ความนุ่มนวล เหมือนเพลงช้าๆ ให้คุณขับแล้วรู้สึกสบายใจในทุกเส้นทาง คนนั่งไม่หวั่นใจหลับได้สบายมาก เหมาะกับรถเดินทางสายครอบครัว
พอปรับโหมดสปอร์ต อาการขับเคลื่อนสี่ล้อพร้อมบู้มากขึ้น เข้าโค้งคมขึ้น พวงมาลัยเฉียบขึ้น น้ำหนักพวงมาลัยมากขึ้นมากขึ้น เปลี่ยนบุคคลิกรถพ่อบ้าน ให้เป็นรถพร้อมซิ่งในระดับหนึ่ง
ชัดที่สุดเป็นช่วงจังหวะโค้งเอส ต่อเนื่อง ตามปกติการเลี้ยวจากด้านหนึ่งไปอีกด้าน เราจะต้องยกเท้ามาเบรก เพื่อให้เลี้ยวและควบคุมสมดุลตัวถัง Nissan X-trail e-Force เพียงแค่ยกเท้าออกจากคัน แล้วหักพวงมาลัยไปอีกทางไปต่อได้เลย จนผมแอบอึ้น มันทำได้ขนาดนี้เลยหรือ
ในเส้นทางเดียวกัน เราสามารถใช้ความเร็วได้มากขึ้น มีอาการโคลงตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้ทำตัวนิ่งเหมือนในโหมดออโต้ อาจต้องการทำให้ผู้ขับขี่ผู้โดยสารตื่นตัวในการขับ มีความรู้สึกสนุกมากขึ้น

ถ้าเทียบสองโหมด สปอร์ต – ออโต้ อาการของสปอร์ตมีความใกล้เคียงซูบารุมากกว่า
เพียงแต่ระบบจะทำงานเร็วกว่าขับสี่ซูบารุ ยามเกิดการลื่นไถล กำลังแรงบิดมาจากสองแหล่งช่วยกันแข็งขันกอบกู้สถานการณ์
จึงแก้อาการควบคุมตัวรถได้ดี มีอาการเรียบๆ แต่มั่นใจ
สรุป Nissan X-trail e-Force ขับสี่ล้ำยุค …ขึ้นอยู่กับคุณหาอะไร
หลังจากลองขับเจ้า Nissan X-trail e-Force ผมยอมรับว่า ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD ,e-Force ,ของนิสสัน ออกแบบมาให้มันตอบสนองได้ดีกว่าระบบขับเคลื่อนสี่ล้อดั้งเดิม
อย่างที่ผมบอก ระบบเอาข้อมูลไปประมวลและตัดสินใจในการจ่ายแรงบิดจะจุดที่ระบบคิดว่าเหมาะสมที่สุด เหมือนทีมฟุตบอล มีกองกนเากองหลังและปีกซ้าย-ขวา

ระบบฉลาดจนผมมองว่า เสมือนมันเป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่มี ai ทำงานเบื้องหลัง คนขับไม่ต้องคิดอะไรมาก ทำแค่ถือพวงมาลัยให้ถูก เลือกไลน์การขับให้ดี
ไม่จำเป็นต้องมีทักษะการขับรถมาก ก็เข้าโค้งด้วยความเร็วได้สบายๆ
ถ้าเทียบกับระบบ AWD ดั้งเดิม กับญี่ปุ่นด้วยกัน ก็คงต้องเป็นทางซูบารุ
ค่ายดาวลูกไก่จะเป็นระบบเชิงกลไก รถจะออกอาการมาเสมอในทุกการกระทำ ผู้ขับขี่รับรู้ได้ถึงทุกการกระทำมากวก่า
แตกต่างจากนิสสัน ระบบจะช่วยเสมอและลดการรับรู้เข้าใจตัวรถ “มันเหมือนขับรถในซิมูลเรเตอร์” อยากไปทางไหนใช้ความเร็วเท่าไรระบบจัดการให้หมดทุกอย่าง ไปตามสั่งทำได้ดั่งใจคิด
มันเหมาะกับคนทั่วไปอยากได้รถขับมั่นใจเพิ่มเติมจากเดิม โดยไม่ต้องคิดเยอะแยะ
ซูบารุคือรถที่ ‘สอนให้คุณเก่งขึ้น’ ส่วนนิสสันคือรถที่ ‘ทำให้คุณเก่งทันที’”
ถ้าคุณมองหารถแบบนี้ Nissan X-Trail e-Force เป็นคำตอบที่น่าสนใจ ราคาของมัน 1,699,000 บาท นำเข้าญี่ปุ่นทั้งคัน มีขายแค่รุ่นเดียว
ฟังชั่นตัวรถอาจไม่หวือหวามาก แต่หลังจากลองขับ ระบบขับสี่ของมันนี่แหละ คือไพ่เด็ดมัดใจ ผมอยู่ในกลุ่มโซเชี่ยล คนที่ไปลองขับส่วนใหญ่ประทับใจ
ผมเองก็ประทับใจเหมือนกัน เพียงแค่ผมยังเป็นคนชอบขับรถ ชอบพัฒนาทักษะการขับขี่ของตัวเอง