หลัง Mercedes-EQB SUV ไม่ประสบความสำเร็จด้านยอดขายเท่าไหร่นักจนต้องยุติการทำตลาดไปอย่างรวดเร็ว ล่าสุดก็ดูเหมือนว่ามันจะกลับมาได้ฤกษ์เกิดใหม่อีกครั้ง โดยการผสานเข้ากับตัวรถรหัสตั้งต้นดั้งเดิม แล้วขายด้วยชื่อใหม่ คือ Mercedes-Benz GLB “With EQ Technology”

Mercedes-Benz GLB “With EQ Technology” ถือเป็นตัวรถรหัส GLB เจเนอเรชันที่ 2 ที่จะเข้ามารับช่วงต่อจากรุ่นพี่รหัส X247 ที่วางจำหน่ายมาตั้งแต่ปี 2019 จนถึงช่วงปลายปี 2025
โดยการเกิดใหม่ของ GLB เจเนอเรชันที่ 2 ในเฟสแรก ก็จะเน้นไปที่การทำตลาดด้วยรถซึ่งใช้ขุมกำลังพลังงานไฟฟ้าล้วนๆเท่านั้นไปก่อน เพื่ออุดช่องว่างของ Mercedes-EQB SUV ที่พึ่งถูกประกาศยุติการผลิตไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้เช่นกัน เนื่องจากยอดขายตัวรถไม่ได้มีความเปรี้ยงปร้างขนาดนั้น แม้จะดำเนินการขายอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2022 เท่านั้นเองก็ตาม
การปรับโฉมใหม่ครั้งนี้ จะเป็นการปรับโฉมที่คล้ายกับตอนที่ Mercedes ทำ CLA และ GLC รุ่นใหม่ นั่นคือเอาโครงสร้างของรถรุ่นก่อนหน้ามีดัดแปลงเส้นสายยกคันเพื่อให้รถดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น ดังนั้น เราจึงจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตัวรถยังคงมีสัดส่วนตัวถังด้านข้างและด้านสูงที่ไม่หนีไปจากเดิม แต่มีรายละเอียดงานดีไซน์ต่างๆที่ไม่เหมือนเดิมเลยสักจุด
เริ่มตั้งแต่ ชุดกระจังหน้าแบบใหม่ที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม กินพื้นที่กันชนหน้ามากขึ้น โดยที่ด้านบนมีแถบไฟ DRL คาดผ่านเพื่อเชื่อมต่อแนวไฟหน้าซ้าย-ขวา เอกลักษณ์ที่ถ่ายทอดมาจาก EQB, ปรับเปลี่ยนลวดลายล้อ, ใช้มือเปิดประตูแบบสไลด์ซ่อน เพื่อเพิ่มความลื่นไหลของอากาศด้านข้าง, ปรับดีไซน์กรอบกระจกบานข้างใหม่ ให้มีทัศนวิสัยที่กว้างใหญ่กว่าเดิม, และท้ายรถ โดดเด่นด้วยไฟท้ายขนาดใหญ่ ซึ่งมีแถบคาดกลางแบบ Crosstailight ซึ่งได้แรงบันดาลใจมากจากรถต้นแบบ Vision EQXX Concept ที่เคยบันทึกสถิติเป็นรถยนต์ไฟฟ้าวิ่งไกลที่สุดในโลกมาแล้ว

ภายในห้องโดยสาร นอกเหนือจากพวงมาลัยที่ต้องใช้ตามแบบนิยมของแบรนด์ ที่เหลือล้วนมีการปรับเปลี่ยนงานออกแบบใหม่ทั้งหมด เริ่มกันตั้งแต่คอนโซลหน้า ที่คราวนี้จะอลังการด้วยชุดจอ MBUX จำนวน 3 จอเต็มแผง ทั้งฝั่งผู้ขับขนาด 10.25 นิ้ว ต่อด้วย ตรงกลางและฝั่งผู้โดยสารอย่างละ 14 นิ้ว ซึ่งจอทั้งหมดที่ว่ามานี้ จะทำงานร่วมกับระบบ Virtual Assistant ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยมีหัวใจหลักเป็นระบบ AI ChatGPT4o และยังมี AI จาก Microsoft และ Google มาช่วยสนับสนุนการทำงานในส่วนฟังก์ชันอื่นๆเพิ่มเติมอีก
ตามด้วยการปรับคอนโซลกลางใหม่ ให้ดูสะอาดตามากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับงานออกแบบแผงข้างประตู กับชุดเบาะนั่ง ที่ตอนนี้ยังไม่สามารถทราบได้ว่าจะมีลูกเล่นใดๆซ่อนไว้อีกบ้าง เพราะขึ้นอยู่กับสเป็คของรถที่ถูกส่งไปวางจำหน่ายในประเทศนั้นๆกันอีกที

ในด้านขนาดตัวรถ มีการปรับมิติใหม่เล็กน้อยเพื่อให้รถดูมีขนาดใหญ่ขึ้นอีกนิดหน่อย เช่น ขนาดตัวรถด้านยาว 4,732 มิลลิเมตร ซึ่งมากกว่าเดิม 48 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับ EQB หรือ 98 มิลลิมเตร เมื่อเทียบกับ GLB และมีด้านกว้าง 1,861 มิลลิเมตร ซึ่งกว้างกว่าเดิม 27 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับรุ่นพี่ทั้ง 2 เวอร์ชันก่อนหน้า
และยังมีการขยายฐานล้อให้ยาวขึ้นอีก 60 มิลลิเมตร เป็น 2,889 มิลลิเมตร ทั้งหมดเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารที่มีความกว้างขวางยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้โดยสารบนเบาะแถวหลัง ที่จะมีพื้นที่วางขามากกว่าเดิม โดยจะมีเพียงความสูงรถด้านบนเท่านั้น ที่เตี้ยลง 14 มิลลิเมตร
นอกจากนี้ยังมีการปรับเพิ่มความจุสูงสุดภายในห้องโดยสารด้านหลังเป็น 667 ลิตร และเพิ่มช่องเก็บของด้านหน้าอีก 127 ลิตร เข้ามาด้วย

ด้านขุมกำลังตัวรถ จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ระดับด้วยกัน เริ่มจาก GLB 250+ with EQ Technology ที่จะมาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าลูกเดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหลัง กำลังสูงสุด 268 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 335 นิวตันเมตร กับรุ่น 350 4Matic with EQ Technology ที่ใช้มอเตอร์คู่ขับเคลื่อน 4 ล้อ กำลังสูงสุด 349 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 515 นิวตันเมตร
ส่วนแบตเตอรี่ จะทำงานด้วยแพลตฟอร์มการจ่ายไฟแบบ 800 Volt และทำให้รถสามารถวิ่งได้ไกลสุด 630 กิโลเมตร/ชาร์จ ในรุ่นเริ่มต้น และขยับลงเหลือ 615 กิโลเมตร/ชาร์จ ในรุ่นบน
และในขณะที่ตอนนี้ตัวรถจะมีเฉพาะรุ่นย่อยที่ขับเคลื่อนด้วยขุมกำลังพลังงานไฟฟ้าเท่านั้น แต่ในปีหน้า ทางค่ายระบุว่าพวกเขาจะมีการเปิดตัวรถที่ใช้ขุมกำลังไฮบริดเพิ่มมากด้วย ซึ่งจะดูน่าสนใจ หรือมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดออกชันต่างๆมากน้อยแค่ไหน ต้องรอดูกันต่อไป











