หลังถูกคัดค้านเสียงแข็งโดยเหล่าผู้ผลิตมากมาย และยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าก็ไม่ได้เติบโตอย่างที่หลายคนคาดคิด ทำให้ในที่สุดรัฐบาลกลางของสหภาพยุโรป ตัดสินใจที่จะถอย และยอมปลดมาตรการแบนห้ามใช้รถ ICE ในปี 2035 ทิ้งไป

นับตั้งแต่ที่ทางสหภาพยุโรปได้มีการหารือ ไปจนถึงตอนประกาศข้อกำหนดและยืนยันที่จะบังคับใช้มาตรการแบนห้ามใช้ยานพาหนะขุมกำลังสันดาปภายใน ในปี 2035 เสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับนโยบายนี้ก็ถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งหลักๆ นั่นคือ ในฝั่งที่สนับสนุน เพราะมองในเรื่องของสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีรักษ์โลก รวมถึงปัญหามลพิษในเมืองใหญ่ ที่ย่อมเห็นดีเห็นงามกับนโยบายนี้มากกว่าใคร
ในขณะเดียวกัน หากไม่นับฝั่งผู้ใช้รถที่ยังคงหลงไหลในอารมณ์ร่วมของการใช้เครื่องยนต์ในยานพานะ ก็ยังมีฝั่งอุตสาหกรรม ผู้ผลิตรถยนต์เอง หรือซัพพลายเออร์อีกมากมาย ที่ไม่เห็นด้วย เพราะมันคือนโยบายที่หักดิบเกินไป จนอาจทำให้ซัพพลายเออร์จำนวนมากที่ผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์และส่วนควบที่เกี่ยวข้อง แล้วผันตัวไม่ได้ต้องปิดตัว รวมถึงจะทำให้บุคลากรและพนักงานอีกหลายคนต้องตกงานกันอีกหลายหมื่นหรือหลายแสนชีวิตอย่างรวดเร็ว จนอาจทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศและทวีปต้องล่มสลายกันได้เลย
ไม่เพียงเท่านั้น แม้ยอดขายยานยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน จะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อเทียบอัตราการเติบโตกันดีๆอีกที เราจะพบว่ายอดขายของรถยนต์เหล่านี้กลับมีอัตราการเติบโตที่ช้าลง ด้วยเหตุผลที่ว่าตัวรถยังคงมีข้อจำกัดในการใช้งานค่อนข้างสูง ทั้งจากสมรรถนะตัวรถเอง หรือสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะต่างๆที่ยังไม่เอื้อ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ายังไม่อาจตอบโจทย์ผู้คนส่วนมากได้ดีนัก แม้แต่ผู้ที่เคยซื้อรถยนต์ไฟฟ้าใช้งานมาแล้ว ก็ยังมีเปอร์เซ็นต์ที่จะกลับไปใช้รถขุมกำลังสันดาปภายในกันต่ออีกเป็นจำนวนไม่น้อย
เมื่อบวกกับความจริงที่ว่านับวันต้นทุนการพัฒนา และการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามักมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้แนวโน้มที่รถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาวางจำหน่ายสูงขึ้น ยิ่งส่งผลให้ลูกค้าจะสามารถจับต้องรถยนต์ไฟฟ้าได้ยากขึ้นเช่นกัน ซึ่งนั่นยังไม่รวมถึงเงินอุดหนุนจากภาครัฐในหลายๆประเทศทั่วยุโรปที่เริ่มถูกตัดทอนการสนับสนุนให้น้อยลงเรื่อยๆอีกด้วย

จากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นข้างต้น ทำให้นโยบายการบังคับให้ทุกคนต้องใช้รถยนต์ไฟฟ้าในปี 2035 เป็นกรอบเวลาที่กระชั้นชิดเกินไป และทางรัฐบาลกลางของสหภาพยุโรปก็ได้ตัดสินใจที่จะยกเลิกข้อกำหนดดังกล่าวทิ้งไปในที่สุด และหมายความว่า เราก็จะยังคงเห็นยานพาหนะที่มีขุมกำลังสันดาปภายในยังสามารถวิ่งใช้งานในสหภาพยุโรปต่อไปได้ในอีกทศวรรษหน้า
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทางสหภาพยุโรป ยังไม่วายที่จะติดปลายนวมเงื่อนไขในการใช้ยานพาหนะขุมกำลังสันดาปภายใน หลังปี 2035 เป็นต้นไปเอาไว้อีกหน่อย นั่นคือ เครื่องยนต์ที่ใช้อยู่ในยานพาหนะต่างๆเมื่อถึงช่วงเวลานั้น จะต้องมีอัตราการปล่อยมลพิษที่ต่ำจริงๆ
โดยจะมีการใช้ตัวช่วยอื่นๆ เช่นการทำให้เป็นขุมกำลังไฮบริดที่มีประสิทธิภาพสูง หรือการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงสังเคราะห์ เช่น น้ำมันเบนซินสังเคราะห์ eFuel ที่สร้างขึ้นจากการดักจับคาร์บอนบนอากาศแล้วมาแปรรูปด้วยไฟฟ้าให้กลายเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง หรือ น้ำมันดีเซล HVO100 ที่ถูกสร้างขึ้นจากเศษขยะอินทรีย์จากอาหาร ก็ย่อมได้
ขอแค่ให้ไม่มีการปล่อยมลพิษสู่ชั้นบรรยากาศโลกมากเกินไปก็พอ ซึ่งอันที่จริงน้ำมันเชื้อเพลิงสังเคราะห์ทั้ง 2 แบบ ที่ยกตัวอย่างมา ทางผู้ผลิตก็มีการเคลมไว้อยู่แล้วว่ามันจะช่วยลดอัตราการปลดปล่อยมลพิษสู่ชั้นบรรยากาศมากถึงราวๆ 90% เลยทีเดียว เมื่อเทียบกับน้ำมันเชื้อเพลิงจากพลังงานฟอสซิลที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

โดยข้อกำหนดเกี่ยวกับยานพาหนะขุมกำลังสันดาปภายใน ที่สามารถใช้งานต่อไป หรือผู้ผลิตสามารถทำออกมาขายได้ภายในปี 2035 ทางสหภาพยุโรปจะมีการเปิดเผยข้อมูลโดยละเอียดอีกครั้ง ภายในวันที่ 10 ธันวาคมนี้ ซึ่งรายละเอียดจะเป็นอย่างไร ก็โปรดรอติดตามดูกันต่อไป เพราะโดยมากแล้ว มันก็จะส่งผลถึงมาตรการของรัฐบาลในประเทศอื่นๆทั่วโลก และผู้ผลิตก็มักนำไปใช้กับรถที่ขายในภูมิภาคอื่นๆตามๆกันไป ซึ่งรวมถึงไทยของเราด้วยนั่นเอง
ข้อมูลจาก : Motor1