ศึกตลาดกระบะดูจะเดือดส่งท้ายปีกับการมาของเจ้าตลาดกระบะในนาม Toyota Hilux Travo ผงาดกลับมาอีกครั้ง ในปีนี้ตลาดกระบะต้อนรับน้องใหม่ GWM Poer Sahar Diesel กระบะจีนอีกรุ่นที่เตรียมขยับสู่ตลาดเครื่องดีเซลด้วยความมั่นใจประสบความสำเร็จจาก GWM Tank
ศึกกระบะปีนี้ เลยเดือดกว่าเดิม ไม่เพียงแค่เจ้าตลาดชนกันเอง ยังมีศึกพี่ใหญ่พบน้องใหม่ จนเราไม่พลาดจะนำมาเปรียบเทียบกัน
กระบะยุคใหม่ เจาะใจสายเที่ยว
สิ่งที่น่าสนใจในกระบะทั้งสองรุ่น และดูเหมือนตอนนี้กระบะยุคนี้จะออกมาแนวเดียวกัน ไม่ว่า Toyota Hilux Travo หรือ GWM Poer Sahar Diesel มุ่งเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าไลฟ์สไตล์ เน้นลูกค้าสายเที่ยว ไม่ได้มองสายพาณิชย์อีกต่อไป

ทั้งคู่บุกตลาดทำรถยกสูงมาขายเป็นหลัก ทั้งขับสองยกสูง โตโยต้าใช้ชื่อรุ่น “Prerunner” รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ 4WD มีชื่อใหม่ว่า “4Trex” ฝั่ง GWM ไม่เรียกอะไรหวือหวา แต่มีให้เลือกทั้งขับสองขับสี่เช่นกัน
โตโยต้า วางเกมเหนือกว่าเล็กน้อย มีรุ่นตบแต่งพิเศษ สืบตำนานต่อจากรุ่นเดิม “Rocco” ครั้งนี้ใช้ชื่อ “Overland “ และมีสีสันพิเศษ ได้แก่ สีส้ม Sulfer Metalic และ Ash
ส่วนฝั่ง Poer เน้นเกมง่าย มีเพียงสียอดนิยม ขาว ดำ และ เทา แถมไม่มีรุ่นตบแต่งพิเศษ แต่มีของแต่งสามารถเลือกซื้อไปแต่งเติมได้
สไตล์อเมริกัน หรือล้ำอนาคต
ด้านการออกแบบภายนอก GWM แก้เกมจากรุ่น HEV ด้วยกระจังหน้าสีดำกรอบสีเดียวกับตัวรถ (ผมโหวตให้สีดำดูสวยสุด) ใช้ล้ออัลลอย 18 นิ้ว สีดำ ในทุกรุ่นย่อย เพิ่มความน่าใช้ดุดัน น่าเสียดายกระบะท้ายเปิดสองแบบถูกทอนหายไป เป็นกระบะท้ายธรรมดา เท่านั้น
การทำกระบะกระจังหน้าใหญ่คันใหญ่ทำให้ฝั่งกระบะจากจีนดูจะมีกลินอายคล้ายกระบะอเมริกาอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ยิ่งมองรวมกับตัวรถที่มีขนาดใหญ่ ได้อารมณ์เดียวกัน
เส้นสายในบางมุม อาจรู้สึกว่ามันถอดมาจาก GWM Tank 500 บ้างไม่มากก็น้อย การเติมราวหลังคามาให้จากโรงงาน บ่งบอกการรองรับการใช้งาน พร้อมสำหรับเดินทางไกลจริงจัง

ทางด้าน เจ้าตลาด ปรับดีไซน์ใหม่ภายใต้แนวคิด “Cyber Sumo”ให้ความแข็งแกร่ง มีความทันสมัย ใช้กระจังหน้าแบบใหม่ ดูละม้ายคล้ายหยิบมาจาก Toyota Corolla Cross มาต่อยอด ให้สีเดียวกับตัวรถ มอบความรู้สึกทันสมัย ดูล้ำยุค ในขณะที่กระบะรุ่นอื่นยังไม่มีใครทำ
รุ่น Double cab 4Trex Premium ความจริงน่าจะเป็นรุ่นตรงชน Poer Sahar 4WD กลับมีเพียงเกียร์ธรรมดาวางจำหน่ายเท่านั้น แถมยังมาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว
จนการเปรียบรีวิวนี้ต้องขอขยับไปที่รุ่น Overland 2.8 AT 4Trex มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ ไม่เพียงแค่นี้ยังได้ ล้อ 18 นิ้ว ชุดแต่งสปอร์ตบาร์ ติดปลายนวมมาด้วย
อย่างเดียวที่ตะขิดตะขวงใจ คือ ช่วงห้องโดยสารแอบรู้สึกเหมือนโครงสร้างเดิม ในบางมุมมอง จนเป็นที่วิพากษ์กันในโซเชียล
Poer กินขาดใหญ่กว่าเห็นๆ
ตัดภาพมาตัวรถ เราลองมาเปรียบเทียบขนาด ทั้ง 2 รุ่น กันจากข้อมูลรายละเอียดทางเทคนิค
ตารางสรุปข้อมูลขนาดตัวถัง
Toyota Hilux Travo Overland GWM Poer Sahar 4 WD ความยาว (มม.) 5320 5445 ความกว้าง (มม.) 1885 1991 ความสูง (มม.) 1815 1924 ระยะฐานล้อ(มม.) 3085 3350 ระยะความสูงจากพื้นถึงท้องรถ 219 224
จากข้อมูล ชัดเจนว่า GWM Poer Sahar มีความกว้างกว่าในทุกมิติ ยิ่งเจอตัวจริง Poer น่าเกรงขามกว่าชัดเจน
การพัฒนาฐานล้อของ Poer ให้มีความยาวพิเศษ ทำให้ระยะของห้องโดยสารใหญ่กว่า กว้างขวางนั่งสบายกว่าอย่างชัดเจน รวมถึงพื้นที่กระบะท้ายที่สามารถจุมากกว่า เราเคยเห็นการใส่รถมอเตอร์ไซค์วิบาก2 คันอย่างสบายๆ ในช่วงพรีวิว ค่อนข้างน่าประทับใจ
ห้องโดยสารหนึ่งหรูทันสมัย โตโยต้าหนึ่งแกร่ง
ก้าวมาภายในห้องโดยสาร GWM Poer Sahar มาพร้อมกับงานออกแบบ เน้นไปทางหรูหราทันสมัย มีข้าวของหลายอย่างยกมาจาก Tank แบรนด์รถอเนกประสงค์สายลุย พรั่งพร้อมความพรีเมียมทำให้ห้องโดยสารดูน่าใช้มากขึ้น
ติดตั้งหน้าจอแสดงผลผู้ขับขี่ขนาด 12.3 นิ้ว ในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ จอกลางขนาด 14.6 นิ้ว เป็นจอที่น่าจะใหญ่ที่สุดในกระบะวันนี้ และยังมีระบบนำทางในตัวให้มาด้วย ใช้ได้ตลอดทางไม่ต้องพึ่งมือถือ

ฝั่ง Hilux Travo เลือกจอขนาด 12.3 นิ้ว ทั้ง 2 จอมาให้ ลูกค้าใช้งาน มีการปรับปรุงชุดซอฟต์แวร์จอกลางใหม่เหมือนจะยกตรงมาจาก Toyota Camry ไม่มีแผนที่นำทางในตัวและไม่สามารถอัพเดทได้ผ่านระบบเครือข่าย
ตัวเบาะเองเป็นอีกสิ่งที่น่าสนใจ จากที่ลองสัมผัสระหว่างการรีวิว เบาะ Poer ค่อนข้างมีขนาดใหญ่ แถมยังเป็นหนังในทุกรุ่นย่อย ให้ความสบายและความรู้สึกที่ดูพรีเมียม
ไม่เพียงแค่นี้เบาะนั่งตอนหลัง ยังสามารถเอนได้สูงสุด 33 องศา ช่วยจัดท่าพร้อมหลับ เพียงมือสัมผัส ซึ่งกระบะอื่นยังทำได้แค่นั่งหลังตรง เสียดายตัวเบาะดูจะนิ่มไปเล็กน้อยบ้างในบางความรู้สึกแต่สำหรับคนชอบความสบายจัดว่าดีงามพอสมควร

ฝั่ง Hilux Travo ชุดเบาะมีการปรับปรุงใหม่ภายใต้เทคโนโลยี Dynamic Cloud ด้วยเป้าหมายให้ความสบายสูงสุดในการโดยสาร ข่าวดี ในรุ่น OverLand จะได้ เบาะหุ้มหนัง

เบาะนั่งมีความใหญ่อยู่พอสมควรแต่ยังไม่เท่าน้องใหม่ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เจ้าตลาดปรับปรุงให้เบาะตอนหลังมีตำแหน่งที่นั่งสูงขึ้นเพื่อสามารถเห็นทัศนวิสัยทางด้านหน้าชัดเจน
ส่วนพื้นที่โดยสารใกล้เคียงกับรุ่นเดิม โตโยต้า เปิดเผยว่า ลูกค้าส่วนใหญ่มองว่า พื้นที่โดยสารตอนหลังเพียงพอแล้ว จึงไม่ได้ทำการปรับปรุงใดเพิ่มเติม
เน้นเพียงการออกแบบช่วงคอนโซลหน้า ที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้น วงพวงมาลัย เหมือนยกจาก Toyota Land Cruiser แล้วจัดการจัดระเบียบพวกปุ่มต่าง แถมยังเพิ่มขนาด GloveBox ตรงกลาง และมีช่องเก็บขอบมาให้เพิ่มเติมด้วย
Poer สายนิ่ง …โตโยต้าสายบู้
ทางด้านการขับขี่โตโยต้า ส่งเครื่องยนต์ดีเซล 4สูบ 2.8 ลิตร เทอร์โบเดี่ยว ประกาศศักดาในทุกรุ่นย่อยตระกูล Travo ด้วยความมั่นใจว่า มันมีความประหยัดมากกว่าเครื่องยนต์ 2.4 ลิตรถึง 7.5%
ขุมพลังบล็อกนี้ยังทำกำลังเท่าเดิม สูงสุด 204 แรงม้า ระนาบต่อเนื่อง 3,000-3,400 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ระนาบต่อเนื่อง 1,600-2,800 รอบต่อนาที และยังใช้เทคโนโลยีหัวฉีดน้ำมันแปรผัน i-Art มาพร้อมชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด

ทางฝั่งน้องใหม่ ทาง GWM มุ่งเน้นในการทำตลาดกลุ่ม Low Output เลยติดตั้งเครื่องยนต์ 2.4 T 4 สูบแถวเรียงพร้อมระบบเทอร์โบเดี่ยว ให้กำลังขับสูงสุด 184 แรงม้า สูงสุดที่ 3,600 รอบต่อนาที ทำแรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที
มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด สามารถเลือกเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยได้ผ่าน ระบบบ Paddle Shift ด้วย

ถ้าวัดกำลังขับ, เครื่องยนต์ 2.8 ลิตรของโตโยต้า เหนือกว่าทุกมุม ทั้งแรงม้าและแรงบิด แถมนิสัยเครื่อง2.8 ที่เคยลองขับ ค่อนข้างจัดจ้านมีความห้าวในตัว
ฝั่งต้นกำลัง 2.4T GWM ก็ไม่ได้ว่า โดยเฉพาะแรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร ระนาบต่อเนื่อง 1,500-2,500 รอบต่อนาที ถือว่ามีช่วงกว้างอยู่พอสมควรและตัวเลขค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับเครืองยนต์กลุ่มเดียวกัน
อีกประการ เครื่องยนต์ของ GWM มีการพัฒนาทางด้านความนิ่งในการทำงานและเพิ่งพัฒนาออกมาใหม่ล่าสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด มีอัตราทดเยอะเป็นรองเพียงฟอร์ด ช่วยให้เครื่องทำงานนิ่ง มีกำลังพร้อมสนับสนุนอัตราเร่ง และให้ความประหยัดน้ำมัน

มันมาพร้อมกับเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย หรือ Paddle Shift ช่วยให้ตัวรถตอบสนองในการขับขี่ได้ทันท่วงที โดยไม่ต้องละสายตาในระหว่างการขับขี่
แต่ เครื่องใหญ่กำลังเยอะอาจดีในแง่การขับขี่แต่การใช้งานจริงยังต้องมีอีกหลายปัจจัย โดยเฉพาะ เรื่องอัตราประหยัดน้ำมัน
เท่าที่มีข้อมูลจากทาง Eco Sticker Toyota Hilux Travo2.8 Overland มีอัตราประหยัดรวม 7.0 ลิตร / 100 ก.ม.หรือราวๆ 14.28 ก.ม./ลิตร
ทางฝั่ง Poer ยังไม่มีข้อมูลจาก EcoSticker จนกว่าจะเปิดตัว แต่ทาง GWM เคยเปิดเผยว่า จากการทดสอบภายใน อัตราประหยัดอยู่ที่ 7.4 ลิตร /100 ก.ม.หรือราวๆ 13.5 ก.ม./ลิตร
อย่างไรก็ดี ,ตัวเลขนี้ไม่ใช่การขับขี่จริงบนถนน เป็นเพียงข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐ และการทดสอบภายใน เมื่อเจอสภาวะจริงจะได้เท่าไร นับเป็นคำถามสำคัญ
นอกจากนี้ GWM ยังติดตั้ง ระบบพวงมาลัยไฟฟ้ามาให้ในทุกรุ่นย่อย ต่างจากเจ้าตลาดไปเน้นติดตั้งในรุ่นท๊อปพร้อมชุดแต่ง รหัส OverLand หรือว่าง่ายๆอยากได้ของดีต้องจ่ายตัวท๊อปเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ,จุดที่น่าสนใจ ใน Poer Sahar คือ การเซทช่วงล่างที่แม้หลายสื่อจะพูดไปในทางเดียวกันว่า มันยังค่อนข้างมีความเป็นกระบะ

แต่เรื่องนี้ก็มีประโยชน์สำหรับสายกิจกรรม ที่อยากได้รถทั้งโดยสารและบรรทุกของ ในหนึ่งเดียว เช่น ขนมอเตอร์ไซค์วิบากไปทำกิจกรรม หรือยุคนี้เต๊นท์ติดรถกำลังมาแรง รถที่มีช่วงล่างรองรับและพร้อมน้ำหนักเพิ่ม อาจเป็นโจทย์ที่บางคนมองหา เพราะกระบะคือกระบะ ทำให้ตายอย่างไรก็ไม่สบายเท่าอเนกประสงค์
GWM Poer Sahar Diesel VS Toyota Hilux Travo Double Cab 2.8 Overland 4 trex พี่ใหญ่เจอน้องใหม่มีดีด้อยต่างกัน
มาถึงตรงนี้ เพื่อนๆคงเริ่มพอจะเห็น จุดดี-จุดด้อย ของ กระบะทั้ง 2 รุ่นอย่างชัดเจน ให้คุณพอมีข้อมูลในหัวก่อนไปช๊อป
เรื่องขนาดตัวรถ เราต้องยอมรับว่า Poer Sahar ใหญ่กว่าทุกมิติ แถมการแก้เกมด้วยการใช้กระจังหน้าสีดำ ทำให้รถมีบุคคลิกโดดเด่นมากขึ้นดูบางมุมนึกถึงรถจากอเมริกัน
รถที่ใหญ่กว่าดีอย่างไร แน่นอนว่าห้องโดยสารใหญ่กว่าพื้นที่บรรทุกก็ใหญ่กว่า แถมการขยับฐานล้อยาวกว่าทำให้อาการสะเทือนถึงห้องโดยสารน้อยกว่า
แต่เมื่อรถกว้างกว่า ยาวกว่า อาจต้องพิจารณาด้านความคล่องตัว หากเน้นใช้งานในเมือง

กลับกันสำหรับใครเน้นความสบายเดินทางก็นับว่าตอบโจทย์อย่างแน่นอน รวมถึงการให้จอภาพขนาดใหญ่ พร้อมระบบนำทางในตัว และ การตัดเย็บด้วยหนังทั้งคัน โดยไม่ต้องไปซื้อรุ่นตบแต่งพิเศษ
แต่ข้อที่ต้องพิจารณาสำคัญ หนีไม่พ้นเครื่องยนต์ที่กำลังน้อยกว่า ถึงอย่างนั้นกำลังของมันต่างจาก เครื่อง 2.8 โตโยต้า เพียง 20 แรงม้า และแรงบิดน้อยกว่า 20 นิวตันเมตร
การใช้งานจริงอาจแทบไม่เห็นผลอย่างชัดเจน เว้นใครที่เน้นบรรทุกหนัก หรือ ลากจูงบ่อย ก็ยอมรับ จุดนี้เครื่องใหญ่กว่า กำลังมากกว่าจะได้เปรียบ
กลับกันถ้าแค่ผู้โดยสารเต็มรถ พร้อมสัมภาระท้ายกระบะ หรือแค่แบกเต๊นท์หลังคาไปออกแคมป์ เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร กำลัง 184 แรงม้า เหลือเฟือเกินพอ

จุดที่ Poer ทำได้ดีกว่า คือ อาการสั่นสะเทือนและเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์น้อยกว่า จากการแนวทางการพัฒนาตัวเครื่องยนต์ และชุดเกียร์หลายอัตราทด ช่วยคุมรอบเครื่องไม่ให้สูงมากและต่อเนื่อง ในระหว่างการขับขี่
ประเด็นที่ ฝั่งเจ้าตลาดมีชัยก็มีอยู่ไม่น้อย อย่างแรกคงเป็นเรื่องพลังขับที่มากกว่า มีผลต่อการตัดสินใจของคนไทยอย่างชัดเจน
แถมยังมั่นใจเรื่องความทนทาน ไม่ว่าจะใช้ที่ไหน ศูนย์บริการมีอยู่ค่อนข้างครอบคลุม แม้ในอำเภอที่ห่างไกลคลายความกังวลให้กับลูกค้า
เรื่องอัตราประหยัด อาจจะต้องรอท้าพิสูจน์ในการใช้งานจริงบนถนนว่าจะเป็นอย่างไร
แม้ว่าทางโตโยต้ามั่นใจว่า รถประหยัดขึ้น จนอยู่ในระดับเดียวกับเครื่องยนต์ 2.4 เดิม แต่แววว่าเครื่องใหญ่อาจซดกว่าก็ยังเป็นสิ่งที่ลูกค้ากังขา แถมภาษีรายปีที่ต้องแพงขึ้น เป็นค่างวดที่ต้องจ่ายเพิ่มเป็นเงาตามตัว
ตอนนี้ความคุ้มค่าเราอาจยังพูดไม่ได้เต็มปาก จนว่า Poer จะเปิดราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ในช่วงงาน Motor Expo 2025
แต่ถ้าเอาสรุปวันนี้ ในเบื้องต้น
- เน้นนั่งสบาย – Poer
- ต้องใช้งานหนัก ขนบ่อยลากจูงบ้าง – Travo
- เน้นศูนย์บริการมีทั่วไทย – Toyota
- เน้นฟีเจอร์คุ้ม – GWM
ศึกพี่ใหญ่ เจอน้องใหม่ รถทั้งสองคัน มีมุมมองที่แตกต่างกัน อยู่ที่ลูกค้ามองหา
แต่ถ้าเราเปิดใจ ลองก้าวสู่สิ่งใหม่ๆ เราอาจพบสัจธรรมว่า รถที่ดีราคาไม่แพง ก็มีเหมือนกัน
GWM จะเป็น‘แจ็กผู้ฆ่ายักษ์’ ในตลาดกระบะหรือไม่ — คำตอบขึ้นกับราคาและพิสูจน์ความทนทานในระยะยาว
แต่ในประเทศจีน GWM เป็นกระบะเบอร์ 1 ติดต่อกันมายาวนาหลายปี จนปัจจุบันได้รับความวางใจมากขึ้นเรื่อยในหลายตลาดอย่าง ออสเตรเลียมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่ควรมองข้ามน้องใหม่คันนี้ที่หาญกล้าท้าชนพี่ใหญ่ดูสักครั้ง ในศึกกระบะปลายปี
