นับเป็นรุ่นแรกของค่าย Nissan อเมริกาที่ทำตลาดด้วยขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดประเดิมรุ่นแรกกับ Nissan Rouge PHEV
หน้าตาไม่ต้องพูดถึงยกงานดีไซน์จาก Mitsubishi Outlander มาทั้งกะปิเพียงแต่ปรับหน้าตาให้เข้ากับความเป็น Nissan เริ่มที่ ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED เติมสีฟ้าในกรอบนอกปรับดีไซน์
ชุดกระจังหน้าใหม่สไตล์รูปตัววีไส้ในแนวนอน 5 ช่อง ติดตรา Nissan เสริมราศีให้ดูดีด้วยไฟหน้า Daytime LED ทรงเล็กรับกับกันชนหน้าแบบสปอร์ตเสริมคิ้วชายล่างสีเงินพร้อมไฟหรี่ไฟสูงไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED ฝากระโปรงหน้าออกแบบใหม่เปิดแค่เฉพาะฝาเท่านั้นจากเดิมจะเปิดทั้งฝาและตัวกระจังหน้าด้วยกัน
ที่เปิดประตูรถดึงก้านราวหลังคาพร้อมหลังคาพาโนรามิกซันรูฟ ยาวจรดด้านท้ายกับแนวของโคมไฟหลัง LED แนวนอนเรียวเล็กออกแบบใหม่ที่ฉีดล้างไฟหน้ารถและไฟตัดหมอกหลัง LED เสา D ขนาดใหญ่ ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 20 นิ้ว
ภายในมาพร้อมข้าวของครบครันด้วยลำโพงชุดใหม่จากค่าย YAMAHA มอบเสียงที่สมจริงถึง 4 รูปแบบ พร้อมเพิ่มขนาดหน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว พร้อมระบบนำทางในจอที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน รองรับการเชื่อมต่อ Android Auto และ Apple CarPlay แบบไร้สาย
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 4 ก้าน มาตรวัดดิจิทัลขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ช่องแอร์แนวยาว กับเครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิอิสระ 3 ส่วน ตกแต่งด้วยวัสดุอะลูมิเนียม และพร้อมจอแสดงข้อมูลเหนือคอนโซลหน้า full-color Head-Up Display (HUD) ขนาด 10 นิ้วและช่องเสียบ HDMI กับ USB
เบาะนั่งกึ่งหนังแท้ทูโทนลาย Diamond CUT สีดำ มาแบบ 3 ตอน 7 ที่นั่ง ตอน 2 พับได้แบบ 40:20:40 และตอน 3 พับได้แบบ 50:50 พร้อมพื้นที่สัมภาระด้านท้าย 258-284 ลิตร แต่พับเบาะตอนสามแล้วมีพื้นที่มากถึง 634-646 ลิตร และเมื่อพับแถวตอนสองกับแถวสามมีพื้นที่มากถึง 1,373 -1,390 ลิตร มีระบบเบาะเย็นคู่หน้า
ช่องจ่ายไฟ AC ที่กำลังสูงสุด 1,500 W ผลิตและจ่ายพลังงานไฟฟ้าจากตัวรถมาใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ
ขุมพลังเบนซินขนาด 2.4 ลิตร จาก Mitsubishi ด้วยรหัส 4B12 ให้กำลังถึง 128 แรงม้า แรงบิด 195 นิวตันเมตร จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว สูงถึง 116 แรงม้า แรงบิด 255 นิวตันเมตรในมอเตอร์ตัวหน้า S91 และ 136 แรงม้า แรงบิด 195 นิวตันเมตรในมอเตอร์ตัวหลัง YA1
พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาดความจุ 20 kWh ให้กำลังรวมสูงสุด 248 แรงม้า 437 นิวตันเมตร วิ่งด้วยโหมดไฟฟ้า EV อย่างเดียว วิ่งได้ไกลจากเดิม 62 กิโลเมตร (EPA) และวิ่งทั้งระบบ 676 กิโลเมตร (EPA) ชาร์จได้ทั้งชาร์จกระแสตรง DC 30-80% ภายใน 32 นาทีและกระแสสลับ AC ประมาณ 7.5 ชั่วโมงติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Super-All Wheel Control มีทั้งหมด 7 โหมด
โดยเตรียมเปิดตัวที่งาน Los Angeles Auto Show 2025 ระหว่างวันที่ 21-30 พฤศจิกายนและขายจริงต้นปี 2026