Honda Africa Twin นับเป็นรถมอเตอร์ไซค์อีกรุ่นหนึ่งที่ลูกค้าชาวไทยหลายคนให้การต้อนรับเป็นอย่างดี และตอนนี้ Thai Honda ก็ได้มีการเปิดตัวโฉมใหม่ของมันออกมา ซึ่งนับได้ว่าเป็นตัวรถเจเนอเรชันที่ 3 แล้ว นับตั้งแต่การเกิดใหม่ในรอบ 10 ปี มานี้

2025 Honda Africa Twin ยังคงถูกนำเสนอในประเทศไทยด้วยทางเลือก 2 รุ่นย่อย นั่นคือรุ่น Standard ถังน้ำมันเล็ก เกียร์ธรรมดา โช้คปรับมือ พร้อมราคาวางจำหน่าย 569,000 บาท และ รุ่น Adventure Sport ถังน้ำมันใหญ่ เกียร์ DCT โช้คไฟฟ้า พร้อมราคาวางจำหน่าย 709,000 บาท
โดยการปรับโฉมครั้งใหม่ของตัวรถรุ่นล่าสุดนี้ ก็จะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในหลายๆจุดด้วยกัน โดยสำหรับตัวรถรุ่นพื้นฐาน ก็จะได้แฟริ่งใหม่ที่ดูเพรียวบาง พร้อมลุยมากยิ่งกว่าเดิม พร้อมเสริมขีดความสามารถในการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ด้วยช่องรีดอากาศด้านข้างจากแนวหลังหม้อน้ำที่ใหญ่ขึ้น และเพิ่มความสะดวกสบายด้วยชิลด์หน้าใหม่ที่สูงกว่าเดิมเล็กน้อย และมีจุดยึดกระเป๋าข้างมาให้เสร็จสรรพ กับเสริมความหนาแน่นของโฟมเบาะรองนั่งใหม่อีก 15% เพื่อความนุ่มสายในการนั่งเดินทางไกล
จากนั้นคือการเปลี่ยนชุดล้อซี่ลวดใหม่ ให้คราวนี้เป็นขอบล้อสำหรับรัดด้วยยางทูบเลสเรียบร้อยแล้ว แต่จะยังคงเป็นขนาดเดิม คือ 90/90-21M/C 54H และ 150/70-19-R18M/C 70H เพื่อความสามารถในการบุกตะลุยอย่างเต็มรูปแบบดังเดิม
ส่วนตัวรถรุ่นถังใหญ่รหัส Adventure Sport ก็จะได้ชุดแฟริ่งเปลือกนอกใหม่ ที่ถูกปรับให้ดูกลมมน มีความบึกบึนมากขึ้น และมีการเพิ่มช่องดักลม กับขยายช่องระบายความร้อนจากแแผงหม้อน้ำใหญ่กว่าเดิม และมีการเปลี่ยนขนาดวงล้อหน้าใหม่ ให้กลายเป็นล้อซี่ลวดทูบเลส 19 นิ้ว ซึ่งจะถูกรัดด้วยยางขนาด 110/80-19 ที่มีหน้ากว้างใหญ่ขึ้น และมีขนาดวงล้อเล็กลง เพื่อเสริมความมั่นคงขณะใช้งานบนทางดำ และรองรับการวิ่งด้วยความเร็วสูงๆได้นิ่งขึ้นด้วย

และในเมื่อชุดล้อมีความเปลี่ยนแปลง อีกสิ่งที่ถูกเซ็ทอัพใหม่ตามกันไป ก็คือเรื่องของช่วงล่าง ที่ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพื้นฐาน ที่จะยังคงใช้โช้คหน้าตะเกียบคู่หัวกลับขนาดแกน 45 มิลลิเมตร และโช้คหลังแก๊สพร้อมกระปุกซับแทงค์แยกต้นเดี่ยว ทำงานร่วมกับชุดกระเดื่องทดแรงและสวิงอาร์มอลูมิเนียมแขนคู่ ก็ได้ถูกปรับเซ็ทใหม่ เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการใช้งานของผู้ขี่
เช่นเดียวกับในฝั่งรุ่น Adventure Sport ที่ตัวระบบโช้คปรับและแประผันค่าการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า Showa EERA ก็จะมีทั้งการเซ็ทอัพตัวกลไกระบบกันสะเทือนใหม่ ลดช่วงยุบให้น้อยลง ปรับความหนืดให้มากขึ้น พร้อมอัพเดทความฉลาดในการทำงานของระบบปรับโช้คไฟฟ้าใหม่เช่นกัน โดยส่วนหนึ่งก็เพราะตัวรถได้รับการอัพเกรดชุดเซนเซอร์วัดองศาการเอียง หรือ IMU 6 แกน Bosch MM7.10 แบบใหม่เข้าไปด้วย
นอกนั้นระบบเบรกยังคงเดิม ด้วยจานเบรกหน้าขอบหยัก ขนาด 310 มิลลิเมตร 2 ใบ ทำงานร่วมกับคาลิปเปอร์เบรก Nissin เรเดียลเมาท์ 4 พอท และด้านหลังใช้จานเบรกขอบหยัก ขนาด 256 มิลลิเมตร ใบเดี่ยวทำงานร่วมกับปั๊มเบรกโฟลทติ้งเมาท์ 1 พอท ซึ่งก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการใช้งาน

ขุมกำลังตัวรถที่เป็นเครื่องยนต์ 2 สูบเรียง 1,084cc 4 วาล์ว/สูบ SOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ ก็ได้ถูกปรับจูนใหม่ ให้มีแรงบิดสูงสุดมากขึ้นอีก 7% รวมเป็น 112 นิวตันเมตร ที่ 5,500 รอบ/นาที และมีแรงม้าสูงสุดที่ 102 แรงม้า PS ที่ 7,500 รอบ/นาที พร้อมกันนี้ยังมีการปรับจูนการทำงานของระบบส่งกำลังใหม่ โดยเฉพาะรุ่นที่ใช้กล่อง DCT ซึ่งก็จะถูกปรับเซ็ทกล่องประมวลผลใหม่ ให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างเรียบเนียน นุ่มนวลมากขึ้น เพื่อเสริมความสะดวกสบายในการใช้งานของผู้ใช้
ท้ายสุดคือลูกเล่นจำพวกลิ้นเร่งไฟฟ้า, โหมดการขับขี่, ระบบคุมการลอยตัวของล้อหน้า, ระบบ HSTC, ระบบคุมกำลังเครื่องยนต์, ระบบคุมแรงหน่วงเครื่องยนต์ และ G-Mode ก็ล้วนได้รับการปรับเซ็ทการทำงานใหม่ทั้งหมดเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนั้นก็จะแสดงผลค่าและอัตราการทำงานบนหน้าจอมาตรวัดแบบ Full Digital TFT Touch Screen ขนาด 6.5 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อกับระบบ Android Auto และ Apple CarPlay แบบไร้สาย ดังเดิม