Royal Enfield Classic นับเป็นรถมอเตอร์ไซค์ตระกูลสร้างชื่อของแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในสายตาคนไทยโมเดลแรกๆ ซึ่งล่าสุดมันก็ได้มีรุ่น 650 ถูกเผยโฉมออกมา พร้อมวางจำหน่ายในเมืองไทย และให้เราได้ทดสอบ รีวิว กันแล้วในตอนนี้

Royal Enfield Classic 650 ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเสริมตลาดรถมอเตอร์ไซค์ในพิกัด 650cc ของแบรนด์ให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเน้นการสานต่อความสำเร็จของ Royal Enfield Classic 500 ที่ถูกยกเลิกการวางจำหน่ายไปเมื่อหลายปีก่อน และการเป็นพี่ใหญ่ของ Royal Enfield Classic 350 ที่อาจจะดูเล็กเกินไปหน่อยในสายตาของใครหลายๆคนช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ดังนั้น จุดขายของตัวรถรุ่นนี้ จึงจะเน้นหนักไปที่เรื่องของงานดีไซน์ ซึ่งยังคงเน้นกลิ่นอายความเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากยุคสงครามโลก ด้วยสัดส่วนตัวรถที่ค่อนข้างยาว ไฟหน้าโคมกลมกรอบโครเมียม แต่ด้านในใช้หลอดไฟ LED ตามสมัยนิยม ขนาบข้างด้วยดวงไฟ Tiger Eyes อันเป็นเอกลักษณ์ของรถตระกูล Classic
เช่นเดียวกัน แผ่นครอบใต้ไฟหน้า กับครอบแกนโช้คด้านบน รวมถึงชุดบังโคลนหน้า-หลัง ก็ล้วนเป็นงานโลหะทั้งหมด ทั้งเพื่อความแข็งแรง และเพื่อมิติของเฉดสีที่ถูกพ่นลงไปช่วยให้รถดูสวยงามมากยิ่งขึ้น

และที่ขาดไม่ได้เลย ก็คือตัวถังน้ำมันทรงหยดน้ำขนาด 14.8 ลิตร เบาะนั่งแบบแยกส่วน ซึ่งในขณะที่ตัวเบาะผู้ขี่มีความสูงเพียง 800 มิลลิเมตร ตัวเบาะผู้ซ้อนก็สามารถถอดแยกออกไปได้ เพื่อเพิ่มความท้ายลาดให้กับรถ ช่วยเพิ่มความสวยงามได้เป็นอย่างดี และยังมีชิ้นครอบแบตเตอรี่กับช่องเก็บซองอุปกรณ์สไตล์คลาสสิคปิดเอาไว้ใต้แนวเบาะอีกเพื่อความลงตัวในด้านงานออกแบบ
หากทั้งหมดยังดูย้อนยุคและเฮอริเทจไม่พอ ทาง Royal Enfield ยังใส่ใจเรื่องรายละเอียดชิ้นงานต่างๆ โดยเฉพาะชิ้นส่วนที่ต้องมีความแวววาวบางส่วนเป็นพิเศษ เช่นดุมล้อหน้า-หลัง ที่จะถูกเคลือบด้วยสารนิกเกิ้ลไฮไดร และถูกนำมาขัดเงาด้วยมือ เพื่อเพิ่มความสดไสของชิ้นงาน เช่นเดียวกับชุดประกับสวิชท์แฮนด์ที่เป็นงานโลหะอัลลอยด์ ที่ก็ถูกเคลือบด้วยสสารชนิดเดียวกัน และถูกปัดเงาด้วยมืออย่างดี เพื่อให้ความเงาของชิ้นงานดูมีมิติที่ชัดเจนมากขึ้นอีกด้วย
แต่เพื่อความทันสมัยในการใช้งาน ขณะที่ชุดหน้าจอมาตรวัด จะมีการบอกเพียงความเร็วด้วยเข็มกวาด ทว่าทางด้านล่าง จะมีชุดจอดิจิตอล LCD สำหรับบอก ระยะทาง ODO Meter, ระยะทางทริป, ระดับน้ำมัน, และอัตราสิ้นเปลืองอยู่ โดยที่ทางด้านขวา จะมีชุดจอ TFT กรอบกลม สำหรับเปิดระบบนำทาง Royal Enfield Tripper แบบ Turn-to-Turn ด้วยแผนที่ของ Googles ใส่มาให้ด้วยเป็นออพชันติดรถตั้งแต่ออกโรงงาน

และดังที่เราระบุไว้ก่อนหน้านี้ ว่าตัวเบาะนั่งของ Classic 650 จะมีความสูงเพียง 800 มิลลิเมตร เท่านั้น ซึ่งในมุมของคนที่ไม่เคยขี่รถมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่เกิน 300cc มาก่อน (หรือตั้งแต่สปอร์ต/เนคเก็ท 150cc) อาจจะรู้สึกว่าเป็นตัวเลขค่อนข้างสูง
ทว่าหากได้ลองนั่งดู จะพบว่าความสูงของมันก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่น่ากลัวอะไร ผู้ขี่ไซส์สูงไม่เกิน 170 เซนติเมตรก็ยังสามารถนั่งคร่อมแล้วใช้ปลายเท้าแตะพื้นได้สบายๆ ซึ่งส่วนหนึ่งต้องขอบคุณรูปทรงเบาะที่มีการเว้าช่วงด้านหน้าให้บาง เพื่อที่ขาผู้ขี่จะได้ไม่บานออกมากนัก
หรือการจะเอาขาข้างหนึ่งขึ้นพักเท้า และเอาขาอีกข้างลงเต็มฝ่าด้วยการเอียงรถเพียงนิดหน่อยก็ยังสามารถทำได้ง่ายอยู่โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าน้ำหนักรถกว่า 243 กิโลกรัม จะทำให้ขาคุณหมดแรงยื้อได้ง่ายๆ เพราะศูนย์ถ่วงรถค่อนข้างต่ำ
ทั้งนี้ สำหรับใครที่สงสัยว่าแล้วเบาะหลังขอรถไปไหน ? แท้จริงแล้วหากเป็นรถเดิมๆออกโรงงาน จะมีการติดตั้งเบาะหลังสำหรับผู้ซ้อนมาให้ แต่ผู้ใช้สามารถถอดแยกออกทั้งโครงซัพพอร์ทด้านล่างได้เลย เพื่อเผยให้รถได้แสดงถึงความสวยงาม หน้าสูง ท้ายลาดตามคอนเซปท์ดั้งเดิมของตัวรถ
ส่วนท่าทางการขี่เองก็มีความสะดวกสบายไม่แพ้กัน ทั้งจากพักเท้าแบบ Mid Control ที่ทำให้ท่าทางครึ่งล่างเหมือนการนั่งบนโซฟา และแฮนด์บาร์ด้านบนยังมีความกว้างและความไกลจากเบาะนั่งไม่มากนัก ทำให้ท่าทางการนั่งขี่ช่วงบนโดยรวมมีความหลังตรงและสามารถโยกแขนหักแฮนด์ได้อย่างเบามือ แถมระยะการหักแฮนด์ซ้าย-ขวา ก็ทำได้เยอะ ทำให้การโยกรถหลบจากช่องแคบๆทำได้ไม่ยากเย็น แม้รถจะมีฐานล้อยาวมากๆก็ตาม

ซึ่งจากจุดในข้างต้น ก็จะสอดคล้องเกี่ยวเนื่องมายังเรื่องของการควบคุมตัวรถ ที่แม้รถจะมีน้ำหนักตัวสูงถึง 243 กิโลกรัม แต่ด้วยจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ กับแฮนด์บาร์ที่กว้าง ทำให้การโยกรถเพื่อเปลี่ยนซอกแซกไปมาสามารถทำได้ง่ายมาก โดยคุณจะรู้สึกถึงความคล่องแคล่วนี้ได้แทบจะในทันทีที่รถเริ่มลอยลำด้วยความเร็วหลัก 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อีกสิ่งที่ถูกออกแบบมาให้สอดรับเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือชุดเฟรมแบบโครงท่อเหล็ก Spine Frame ที่ยกมาจาก Royal Enfield Shotgun 650 และ Meteor 650 แล้วทำการปรับเปลี่ยนองศาแผงคอใหม่ เพื่อให้ชุดโช้คหน้าตะเกียบคู่หัวตั้งขนาดแกน 43 มิลลิเมตร ช่วงยุบ 120 มิลลิเมตร จาก Showa ที่ออกแบบมาเพื่อรถรุ่นนี้โดยเฉพาะสามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม มีองศาแผงคอชันขึ้น เผื่อผ่อนแรงในการหักเลี้ยว แต่ยังคงมีระยะเทรลที่ยาวกำลังดี ช่วยให้รถยังคงมั่นคงเมื่อวิ่งบนทางตรง
เช่นเดียวกับชุดโช้คอัพต้นคู่ทางด้านหลังจากแบรนด์เดียวกัน ทำงานร่วมกับชุดสวิงอาร์มหลังท่อเหล็กแขนคู่หน้าตาสุดคลาสสิค แต่ช่วยยืดฐานล้อให้ยาวขึ้นจนมีตัวเลขมากที่สุดในรถมอเตอร์ไซค์ตระกูล 650 ด้วยกันของ Royal Enfield
ซึ่งการทำงานของช่วงล่าง นอกจากจะให้ความคล่องตัวในการพลิกเลี้ยวได้ดี มันยังสามารถซับแรงได้ค่อนข้างนุ่มนวล โดยเฉพาะเรื่องร่องคลื่นบนถนนที่เก็บได้ค่อนข้างดี และในส่วนรอยต่อพื้นผิวเล็กๆ ก็มีการส่งแรงขึ้นมาถึงตัวผู้ขี่อย่างนุ่มนวล ไม่ค่อยกระแทกกระทั้น
โดยการซับแรงที่ทำได้ดีทั้งหมดนั้น ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกย้วยจนเกินไปขณะต้องเข้าโค้งหนักๆ และถือว่ากำลังเหมาะสมกับรูปทรงรถที่เน้นการใช้งานชิลๆทั้งขณะเดินทางไกลหรือในเมืองจนผู้ทดสอบมองว่าเจ้าของรถตัวจริงอาจไม่จำเป็นต้องไปซนอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบช่วงล่างอีกเลยก็เป็นได้ เพราะเดิมๆก็ถือว่าตรงกับโจทย์การใช้งานของรถโดยสมบูรณ์อยู่แล้ว

ระบบเบรก ก็เป็นอีกความดีงามของตัวรถ เพราะด้วยการใช้จานเบรกหน้าที่มีขนาดใหญ่ถึง 320 มิลลิเมตร และทำงานร่วมกับคาลิปเปอร์เบรกโฟลทติ้งเมาท์ 2 พอท จาก Brybre (By Brembo) รวมถึงยังให้สายเบรกถักมาตั้งแต่ออกโรงงาน ทำให้แม้การกำเบรกแต่ละครั้งจะรู้สึกค่อนข้างแข็งนิดๆแต่การหยุดยั้งตัวรถจะค่อนข้างเป็นไปตามสั่ง และไว้ใจได้แน่นอน จนบางครั้งก็อาจจะดีเกินไปจนโช้คหน้าที่เซ็ทมาค่อนข้างนุ่มยุบจนสุดตัวได้ง่ายๆ
ขณะที่เบรคหลัง ด้วยการใช้เซ็ทอัพจานเบรกขนาดใหญ่ถึง 300 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าใหญ่กว่าจานเบรกหลังของรถมอเตอร์ไซค์ทั่วไปมากๆ แถมยังใช้สายเบรกถักเช่นเดียวกับด้านหน้า
ทำให้หลายครั้งผู้ทดสอบและพี่ๆสื่อท่านอื่นที่มีโอกาสสัมผัสเจ้ารถรุ่นนี้เช่นกัน ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเบรกหลังของมันทำงานได้ไวเกินไปมาก จนหากคุณไม่ระวังดีๆ ล้อหลังอาจจะมีอาการล็อคจน ABS ทำงานได้ง่ายๆ หรือหากเผลอกดตอนรถกำลังเอียงอยู่ ท้ายรถอาจขวางนิดๆให้หวาดเสียวเล่นๆ
ซึ่งอาการท้ายขวางที่ว่านี้เกิดขึ้นเพราะเบรกทำงานดีเกินไปจริงๆ ไม่ใช่เพราะว่ายางติดรถที่เป็นขนาด 100/90-19 และ 140/70-18 ตามลำดับหน้าหลัง ไม่มีความสามารถในการยึดเกาะใดๆ เพราะในการเล่นโค้งต่างๆทั้งความเร็วต่ำและความเร็วสูง ตัวยางล้วนสามารถสร้างแรงยึดเกาะได้ดี ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนถนนเปียก จะมีแค่เฉพาะตอนใช้เบรกหลังแบบไม่ตั้งใจเท่านั้น ที่ยางไม่สามารถสู้ความไวของเบรกได้จริงๆ

ด้านขุมกำลังตัวรถ จะยังคงเป็นเครื่องยนต์บล็อคมาตรฐานของ Royal Enfield 650-Series นั่นคือ เครื่องยนต์ 2 สูบเรียง SOHC 4 วาล์ว/สูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศและระบบออลคูลเลอร์ ขนาดความจุ 648cc พละกำลังสูงสุด 47 แรงม้า ที่ 7,250 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 52.3 นิวตันเมตร ที่ 5,650 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์ 6 สปีด และระบบคลัทช์มือ
และจากการที่ได้ลองสัมผัส เครื่องยนต์ลูกนี้จะยังคงให้เอกลักษณ์ในเรื่องของการเรียกอัตราเร่งในรอบต่ำ-กลางที่ต่อเนื่องดังเดิม ซึ่งก็จะสัมพันธ์กับตัวเลขแรงม้าและแรงบิดที่มาในรอบต่ำ ช่วยให้การเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงเป็นเรื่องง่าย
และการเค้นความเร็วปลายก็ยังสามารถลากได้ไกลจนแตะหลักราวๆ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ แต่จะต้องใช้เวลากับระยะทางประมาณหนึ่ง โดยเฉพาะหลังจากช่วงความเร็วราวๆ 130 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป ซึ่งอันที่จริงก็ถือว่าเหลือเฟือแล้วสำหรับการใช้งาน
ที่จะไม่เหมือนเดิมจากรถ Royal Enfield 650 เจเนอเรชันแรกๆ ก็คือ การเก็บความสั่นสะเทือนจากการสันดาปที่ทำได้ดียิ่งขึ้น ทำให้การขี่รถในช่วงความเร็วเดินทางมีความเหนื่อยล้าน้อยลง สามารถบิดขี่ไกลๆได้ชิลๆ
ส่วนในเมืองอาจจะไปปวดมือซ้ายกับมือคลัทช์ที่แอบแข็งเล็กน้อย ทว่าในเรื่องของน้ำหนักคันเกียร์กลับมีความนุ่มนวล ไม่ต้องใช้แรงกดเยอะนักก็สามารถเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ได้แล้ว แถมยังมีความแม่นยำประมาณหนึ่งอีกด้วย
ด้านตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยของตัวรถรุ่นนี้จะมีการเคลมเอาไว้ที่ราวๆ 22 กิโลเมตร/ลิตร แต่จากการใช้งานจริงโดยเน้นการขี่ชิลๆในเมืองเป็นหลัก ผู้ทดสอบกลับพบว่ามันมีอัตราสิ้นเปลืองที่อยู่ในช่วงราวๆ 23-24 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งถือว่าประหยัดไม่น้อยสำหรับเครื่องยนต์พิกัดนี้

โดยสรุปแล้ว Royal Enfield Classic 650 คือรถมอเตอร์ไซค์ทรงย้อนยุคที่เกิดใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะมันสามารถรักษาไว้ได้ทั้งความคลาสสิคในเรื่องงานดีไซน์ การตกแต่ง กับงานออกแบบ ผสานกับกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ไม่ยุบยับเกินไปจนทำให้คนที่หลงไหลในความย้อนยุคต้องรำคาญ
เช่นเครื่องยนต์ที่มีภายในอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ แต่มีการออกแบบเรือนร่างภายนอกให้ดูย้อนยุค แชสซีย์ที่มีหน้าตาคลาสสิคไม่แพ้กัน แต่กระบวนการเชื่อม การเก็บงาน ล้วนมีความดูดี และยกระดับจากรุ่นพี่แบบคนละเกรด ทั้งดุมล้อเคลือบเงาด้วยนิคเกิ้ล ประกับแฮนด์งานอลูมิเนียมอย่างดี เป็นต้น
ที่สำคัญที่สุดคือ ในขณะที่ตัวรถมีหน้าตาไม่ค่อยวัยรุ่นเท่าไหร่นัก ทว่าสมรรถนะของรถโดยรวมกลับถูกออกแบบมาให้ขี่ง่าย ใครๆก็สามารถควบคุมได้ ความสั่นสะเทือนน้อย แถมความคล่องตัวก็ยังมีเหลือเฟือ ไม่ว่าจะทั้งจากช่วงล่าง ท่าทางการนั่งขี่ และเครื่องยนต์ที่มีอัตราการตอบสนองดี เหมาะสำหรับการใช้งานทั้งในเมืองและทางไกล
จุดที่ควรระวังสำหรับรถรุ่นนี้ เอาจริงๆก็มีเพียงเรื่องของน้ำหนักตัวรถที่ค่อนข้างมาก จนอาจจะทำให้การเข็นรถจอดเข้า-ออกจากช่องจอดทำได้ยากไปบ้าง และมีเรื่องของระบบเบรกหลังที่ทำงานไวไปหน่อยเพียงเท่านั้น ที่ทำให้เราต้องปรับตัว ส่วนที่เหลือในมุมผู้ทดสอบมองว่าทาง Royal Enfield ได้ทำการบ้านมาดีมากจริงๆสำหรับเจ้า Classic 650 คันนี้
โดยสำหรับเพื่อนๆที่สนใจใน Royal Enfield Classic 650 ตัวรถรุ่นนี้จะมีเฉดสีให้เลือกทั้งหมด 3 แบบด้วยกัน โดยแบ่งเป็น ตัวรถ สี Vallam Red และ สี Bruntingthorpe Blue ซึ่งสนนราคา 249,900 บาท และ สี Black Chrome ซึ่งจะสนนราคา 259,900 บาท พร้อมให้จับจองกันได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ขอขอบคุณ Royal Enfield ประเทศไทย สำหรับการให้ความอนุเคราะห์รถทดสอบในครั้งนี้

























