จากการปรับโฉมครั้งใหญ่ของ Ducati Panigale V2 เมื่อต้นปี ล่าสุดคู่หูร่างเน็คเก็ทไบค์ All-New Ducati Streetfighter V2 โฉมปี 2025 เอง ก็ถูกเปิดตัวในประเทศไทยแล้วเช่นกัน กับราคาวางจำหน่ายที่ 759,000 บาท

Ducati Streetfighter V2 S มาพร้อมการปรับโฉมครั้งใหญ่ ชนิดที่แทบไม่มีอะไรใช้ร่วมกันกับรุ่นพี่โฉมก่อนของมันได้ เพราะแม้คุณอาจจะพบว่าตัวรถยังใช้งานออกแบบที่เน้นความปราดเปรียว ดุดัน และมีไฟหน้าพร้อมลายเส้นแบบ “Joker” ดังเดิม
ทว่าหากเราลองมองในรายละเอียดดีๆกันอีกครั้ง เราจะพบว่าไฟหน้าของตัวรถได้ถูกปรับใหม่ ให้มีความแหลมเชิดมากขึ้น แฟริ่งหน้าผากปิดโคมเอง ก็มีการทำช่องรีดลมเสริมความดุดัน, บังโคลนหน้าปรับใหม่ ให้มีความใหญ่ ปิดแนวลมปะทะแกนโช้คได้ดีขึ้น, แฟริ่งข้างตัวรถดูโอบแนวรถด้านกว้างมากขึ้นและปิดมาถึงแนวโช้คมากกว่าเดิม
ถังน้ำมันความจุ 15 ลิตร มีความโหนกมากขึ้นคล้ายกับตัวแข่ง MotoGP, อกล่างมีการขยายช่องรีดลมให้ใหญ่ขึ้น, เบาะปรับใหม่ มีขนาดเล็กลง และใช้ชุดแฟริ่งใต้เบาะปิดซับเฟรมอีกชั้นหนึ่ง พร้อมปรับแฟริ่งท้ายรถให้ดูเพรียวยาวมากขึ้น, พร้อมปรับท่อไอเสียจากแบบออกล่างใต้แนวตัวรถ เป็นแบบออกคู่ใต้แนวซับเฟรม แบบท่อไอเสียของตัวแข่ง Panigale V4 ในเวที WSBK
และท้ายสุดในเรื่องภาพลักษณ์ ยังมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งแฮนด์บาร์ใหม่ ให้เตี้ยลงเล็กน้อย แต่กว้างขึ้นกว่าเดิมอีก 30 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับระนาบเบาะที่สูง 837 มิลลิเมตร และปรับตำแหน่งพักเท้าใหม่เล็กน้อยให้รองรับกับท่วงท่าการขี่ที่มีความพร้อมซิ่งทิ้งโค้งมากกว่าเดิม
จุดเปลี่ยนสำคัญนอกเหนือจากหน้าตา ก็คือเครื่องยนต์ V2 ทำมุม 90 องศา ที่ถูกปรับลดขนาดความจุลงจาก 955cc เหลือ 890cc และถูกรีดน้ำหนักส่วนเกินลงไปอีก 9.5 กิโลกรัม พร้อมกันนี้ยังมีการออกแบบระบบไหลเวียนน้ำหล่อเย็นใหม่ เพื่อการควบคุมอุณหภูมิการทำงานที่ดีกว่า
และยังมีการออกแบบอัตราส่วนขนาดลูกสูบ 96 มิลลิเมตร x ช่วงชัก 61.5 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นแบบ Over Square ทำให้สามารถรีดรอบสูงสุดได้สูงถึง 11,350 รอบ/นาที พร้อมใส่ระบบวาล์วแปรผันฝั่งไอดี ปรับปรุงกระเดื่องกดวาล์วใหม่ ให้ทำงานได้ไหลลื่นยิ่งขึ้น ลดน้ำหนักวาล์วไอดีลง ส่งผลให้มีแรงเฉื่อยลดลง 5%
ทั้งหมดที่ไล่เรียงข้างต้น ส่งผลให้เครื่องยนต์ลูกนี้ สามารถทำแรงม้าสูงสุดได้ 120 PS ที่ 10,750 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 93.3 นิวตันเมตร ที่ 8,250 รอบ/นาที ซึ่งอาจจะลดลงจากเครื่องยนต์ของรุ่นก่อน แต่มันก็สามารถเรียกแรงบิดกว่า 70% ของทั้งหมดได้ตั้งแต่ 3,000 รอบ/นาที และมีแรงบิดไม่น้อยกว่า 80% ให้เรียกใช้ตั้งแต่ 4,000 – 11,000 รอบ/นาที
หากนิสัยเครื่องยนต์ยังจัดจ้านไม่มากพอ คราวนี้ระบบส่งกำลังชุดเกียร์ 6 สปีดของรถ ยังได้รับการอัพเกรดระบบ Ducati Quick Shifter ให้เป็นเวอร์ชัน 2.0 ซึ่งจะย้ายเอาเซนเซอร์ตรวจจับจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ไปไว้ในชุดเรือนกระปุกเกียร์ ช่วยเพิ่มความทนทาน และเพิ่มความฉับไวในการทำงานที่ต่อเนื่องยิ่งขึ้น ทำให้การต่อเกียร์แต่ละครั้ง ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง มีความไหลลื่นมากกว่าเดิม
ด้วยเครื่องยนต์ที่เปลี่ยนไป ดังนั้นชุดเฟรมโมโนค็อกของตัวรถ ที่หนักเพียง 4 กิโลกรัม จึงต้องถูกปรับเปลี่ยนตาม และมันยังถูกออกแบบให้ทำงานร่วมกับซับเฟรมอลูมิเนียมแบบใหม่ที่เพรียวบางมากขึ้น
รวมถึงยังมีชุดสวิงอาร์มหลังแขนคู่แบบใหม่ พร้อมช่องว่างเป็นรูขนาดใหญ่ตรงกลาง เพื่อทำให้รูปทรงของสวิงอาร์มมีความแข็งแรงมากขึ้น และในขณะเดียวกันยังมีน้ำหนักที่เบาลง ซึ่งการออกแบบสวิงอาร์มที่ว่านี้ ก็จะได้แรงบันดาลใจมาจากซุปเปอร์ไบค์พี่ใหญ่สุดของแบรนด์ นั่นคือ Ducait Panigale V4 รุ่นล่าสุด เมื่อรวมกับการไล่เบาในส่วนอื่น แม้กระทั่งชุดล้อหน้าหลัง ก็ทำให้น้ำหนักตัวรถแบบไม่รวมน้ำมันเชื้อเพลิงในถังมีตัวเลขเพียง 175 กิโลกรัม เท่านั้นนั่นเอง
นอกนั้นในส่วนระบบกันสะเทือน เนื่องจากตัวรถที่วางจำหน่ายในประเทศไทยตอนนี้ จะมีเฉพาะรุ่น S เพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงทำให้มันจะมีเฉพาะรุ่นที่ใช้ชุดช่วงล่างจาก Ohlins เท่านั้นที่ติดรถมา โดยด้านหน้าจะเป็นโช้คตะเกียบคู่หัวกลับ Ohlins NIX30 ขนาดแกน 43 มิลลิเมตร พร้อมเคลือบสาร TiN สามารถปรับเซ็ทได้ทุกค่าด้วยมือ และโช้คหลังต้นเดี่ยวพร้อมกระปุกซับแทงค์แก๊สแยก ปรับเซ็ทได้ทุกค่าเช่นกัน ส่วนตัวกันสะบัดจะเป็นหน้าที่ของ Sachs รับผิดชอบ
ระบบเบรกคราวนี้มีการอัพเกรด โดยการเปลี่ยนมาใช้คาลิปเปอร์เบรกโมโนบล็อค 4 พอท Brembo M50 ทำงานร่วมกับจานเบรกคู่ขนาด 320 มิลลิเมตร และด้านหลังจะใช้จานเบรกเดี่ยวขนาด 245 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับคาลิปเปอร์เบรกโฟลทติ้งเมาท์ 1 พอท จาก Brembo เช่นกัน โดยมีระบบ Cornering ABS ช่วยคุมความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง
ลูกเล่นระบบอีกเล็กทรอนิกส์เพิ่มเติม ยังมีในส่วนของระบบ Ducati Traction Control, Ducati Wheelie Control, Ducati Engine Brake Control พร้อมโหมดการขับขี่ให้ปรับอีก 4 รูปแบบได้แก่ Race, Sport, Road, WET และยังมีโหมดการทำงานของคันเร่งกับระดับกำลังเครื่องยนต์ให้ปรับอีก 3 แบบ ได้แก่ High, Medium, และ Low พร้อมระบบคุมรอบออกตัว กับความเร็วขณะวิ่งในพิทมาให้อีก
โดยทั้งหมดที่ว่ามานี้ จะถูกแสดงผลข้อมูลการทำงานบนชุดหน้าจอมาตรวัดแบบ Full Digital TFT ขนาด 5.0 นิ้ว ความคมชัด 800 x 480 พิกเซล พร้อมอัตราส่วนการแสดงผลแบบ 16:9 ซึ่งถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการใช้งานในรถไฮเปอร์เนคเก็ทไซส์กลางรุ่นนี้
โดย 2025 Ducati Streetfighter V2 S พร้อมวางจำหน่ายในประเทศไทย ด้วยราคา 759,000 บาท และจะมีเพียงสีเดียวเท่านั้นให้เลือก นั่นคือ สีแดง อันเป็นเอกลักษณ์ และสำหรับใครที่สนใจ ก็สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลตัวรถ ณ ศูนย์บริการ Ducati ตามจังหวัดหัวเมืองในแต่ละภูมิภาคของประเทศไทยได้เลยนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป