Home » ไฟหน้าแยกชิ้น ! เทรนด์ใหม่งานออกแบบ ทำไมนิยมวันนี้
ข่าวสารยานยนต์

ไฟหน้าแยกชิ้น ! เทรนด์ใหม่งานออกแบบ ทำไมนิยมวันนี้

ไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายคนคงจะค้นพบว่า ยุคการออกแบบรถยนต์สมัยใหม่ เริ่มเปลี่ยนแนวทางมาสู่ชุดไฟหน้าแยกชิ้น จากเดิมรวมไว้ในโคมเดียว

กระแสนี้อาจกลับตาลปัตรความรู้สึกใครหลายกลับทาง จากเดิมที่รถส่วนใหญ่จะใช้โคมไฟหน้ารวมชิ้น จับเอาไฟหรี่,ไฟเลี้ยว ไฟหน้าส่องสว่างและล่าสุดไฟ Day Time Running Light ไว้ในโคมเดียวกัน

มาวันนี้ เทรนด์งานออกแบบเปลี่ยนไปไฟเลี้ยวไฟหน้า ถูกนักออกแบบผ่าหมากแยกย้ายกระจายออกไป จนเหมือนโลกวันนี้ย้อนยุค คล้ายเทรนด์ยุค 80 รุ่นพ่อ

ถึงจะไม่มีใครเข้าถึงจิตใจบรรดานัดออกแบบรถยนต์ยุคใหม่ ที่หันมาใช้เทรนด์โคมแยกชิ้นกันอย่างกว้างขวางในรถหลายรุ่น ณ ปัจจุบัน ตั้งแต่ Toyota BZ4X ไปจนถึงรถระดับ Mass Market อย่าง Mitsubishi XForce หรือ Suzuki Fronx

แต่ถ้ามองตามข้อเท็จจริงในระยะหลัง เราจะพบว่า ชุดไฟต่างในโคมรถยนต์สมัยใหม่ มันเยอะเกินไปจนเกิดความซับซ้อน ยิ่งซับซ้อนมากก็ยิ่งมีราคาแพง ตามมาด้วยการการบำรุงรักษายาก เป็นค่าใช้จ่ายมหาศาล เมื่อเกิดความเสียหาย รถซิตี้คาร์บางคน ดคมไฟหน้าราคา 20,000 บาท ลูกค้าลมจับ ประกันภัยส่ายหน้า

Suzuki Fronx

โดยเฉพาะการเข้ามาของ Day Time Running Light ไฟส่องสว่างขับขี่เวลากลางวัน วันนี้ถูกผลักดันกลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ และต้องอยู่ในตำแหน่งที่ควรสังเกตง่ายจึงต้องติดในตำแน่งด้านบนเพื่อเป็นที่สังเกตได้ง่าย

ในทางตรงข้ามกันการส่องสว่างในปัจจุบันที่ใช้ไฟหน้า LED เป็นมาตรฐานใหม่ มีความสว่างมากกว่าเดิมในรถรุ่นใหม่บางรุ่น ถ้าวางไว้สูงเกินไปจะกลายเป็นแยงตาเพื่อนร่วมทางคันข้างหน้า ขัดแย้งกันในตัวเอง

นักออกแบบรถยนต์ยุคใหม่ จึงตัดสินใจลองอะไรใหม่ แยกตำแหน่งไฟส่องสว่างออกมา จนก่อกำเนิดเป็นเทรนด์ไฟหน้าแยกชิ้น

จากเทรนด์รถบรรทุก สู่รถบ้าน

ที่จริงแนวทางนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในบรรดารถยนต์เพื่อการพาณิชย์อย่างรถบรรทุก มันถูกใช้มานาน เพื่อทำให้ไฟหน้าต่ำ อยู่ในตำแหน่งที่จะไม่รบกวนสายตา ผู้ใช้รถยนต์ขนาดเล็ก เวลาต้องขับร่วมทางกันบนถนน

นอกจากนี้ ไฟหน้ารถบรรทุกจำเป็นต้องใช้กำลังไฟสูงกว่าเพื่อสร้างทัศนวิสัยที่มีความปลอดภัยในการควบคุมรถ หรือหยุดเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เนื่องจากรถมีขนาดใหญ่ น้ำหนักเยอะต้องใช้ระยะในการหยุด จึงเริ่มย้ายไฟหน้าลงมาวางต่ำในหลายปี ก่อนจะมาสู่รถบ้านแบบวันนี้

การวางไฟหน้าต่ำ ช่วยลดปัญหาการแยงตา ที่อาจเคยเจอในอดีต จากการวางตำแหน่งไฟหน้าสูงเกินไป จนอาจจะเป็นปัญหาในรถบางรุ่น อย่างในกรณีที่เคยมีประเด็นในบ้านเรา ก็หนีไม่พ้น Toyota Fortuner ที่ขับจามฟลังมาที นึกว่ายานแม่บุก

จนต้องแก้ปัญหาด้วยการกดไฟหน้าให้ต่ำลง ลดทัศนวิสัยที่ควรจะกว้างไกล เพื่อให้รถเป็นมิตรกับการใช้งานและเพื่อนร่วมทางมากขึ้น ลดผลกระทบต่อภาพลักษณ์แบรนด์ด้วย

นอกจากนี้ การย้ายตำแหน่งไฟหน้าลงมาด้านล่างเล็กน้อย สามารถเพิ่มกำลังส่องสว่างมากขึ้น ทำให้เพียงเปิดไฟสูงขึ้นมาก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว ตัดปัญหาไฟเสริม หรือ ชุดไฟตัดหมอก ที่ลูกค้ามองว่าจำเป็นต้องมีในอดีต ในทางกลับกันยังทอนต้นทุนการผลิตไปได้มาก เช่นเดียวกับลดความซับซ้อนทางด้านสายไฟตัวถัง และการออกแบบกันชน

ตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจน ก็คือ Mitsubishi Xpander ในรุ่นแรกๆ ที่ออกมา กับดีไซน์ไฟหน้าไว้ทางด้าน ยังมีใช้การส่องสว่างด้วยไฟฮาโลเจน และ มีติดตั้งไฟตัดหมอกมาให้ได้ใช้งาน ในระยะหลังเมื่อเปลี่ยนมาใช้ชุดไฟ LED จะเห็นว่ากำลังส่องสว่างมากขึ้น ส่วนไฟตัดหมอกก็ถูกทอนออกไป โดยลูกค้ายังไม่รู้สึกว่สูญเสียอะไรไป เพราะเริ่มคิดว่ามันไม่จำเป็น

อย่างไรก็ดี ,​อีกสาเหตุสำคัญ ที่หลายแบรนด์เริ่มมาพร้อมไฟหน้าแบบแยกชิ้น ก็ต้องยอมรับว่า ส่วนหนึ่งมันเป็นเรื่องของความอิสระในการออกแบบมากกว่าของนักออกแบบ ที่จะจัดแจงว่าชิ้นส่วนองค์ประกอบต่างๆ ได้อย่างอิสระ

โดยเฉพาะในบรรดารถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องจัดการใช้เส้นสายเพื่อความเพรียวลมสูง มอบสมรรถนะในการขับขี่และประหยัดไฟในการใช้งาน ทำให้หลายค่ายใช้แนวทางนี้ ตั้งแต่รถราคาแพงมายันรถตลาดอย่าง MG S5

บางแบรนด์ ถึงกับนำมาเป็นตัวตนของแบรนด์ อย่างเช่นกรณีของมิตซูบิชิ ซึ่งพยายามทำให้แบรนด์ดูแข็งแกร่งบึกบึนมีความรู้สึกเป็นรถแรลลี่ แบบภาพลักษณ์ในอดีต เดิมทีจะต้องติดตั้งติดสปอร์ตไลท์ใหญ่ๆ ทางด้านล่าง

วันนี้ ทีมนักออกแบบประจำค่าย จับเอกลักษณ์นั้นมาวางเป็นตำแหน่งไฟหน้าแทน สะท้อนภาพความดูบึกดูลุย ถูกใจกลุ่มเป้าหมายที่จะมาเป็นลูกค้า

ตลอดจนในแง่การพัฒนาตัวรถ ไฟหน้าแยกชิ้น ยังทำให้การวาดเส้นสายรายละเอียดเพื่อทำให้ค่าสัมประสิทธิเสียดทานต่ำลง ไม่เป็นอุปสรรคเหมือนวันวาน ที่จะต้องยกโคมไฟหน้าเซทใหญ่ไปแปะไว้ที่ใดที่หนึ่ง การกระจายพวกมันไปยังจุดต่างๆ บนใบหน้า

ช่วยสมานฉันฑ์ ลดการทะเลาะในสตูดิโอ ระหว่างนักออกแบบที่ต้องทำงานออกแบบตัวรถให้โดยใจลูกค้ากับ วิศวกรที่ต้องพยายามพิชิตโจทย์สำคัญทางด้านการขับขี่ในวันนี้ โดยเฉพาะในเรื่องการทำให้รถลู่ลม ลดการปล่อยมลภาวะ

เทรนด์นี้อาจอยู่ไม่นาน

ถึงแม้วันนี้ไฟหน้าแยกชิ้นจะได้รับความนิยมอย่างมากจากหลายแบรนด์ แต่ด้วยความขัดแย้งทางสายตา บางคนก็ชอบ บ้างว่ามันแปลกๆ

อาจทำให้เทรนด์โคมแยกชิ้นอาจอยู่ไม่นาน เหมือนกรณีเทรนด์ไฟหลังก้ามปู ที่อยู่ได้เพียง 4-5 ปี ก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นแบบอื่นๆ เหตุลูกค้าไม่ปลื้ม

แม้จะยังไม่มีใครบอกได้ว่าอะไร จะเป็นสาเหตุให้นักออกแบบรถอาจจะต้องพลิกความคิดใหม่ทำไฟหน้ารวมชิ้น แต่ปัจจัยหลักคือลูกค้า ที่ถือเป็นผู้ตัดสินชะตางานออกแบบของรถจากยุคสุ่ยุค ถ้ายอดขายยากไม่ปังไม่โดน ไม่นานแนวทางดังกล่าวก็ต้องเปลี่ยน

ปัจจุบันมีหลายแบรนด์เริ่มมองในแนวทางนี้ แม้ว่าจะทำไฟหน้าแยกชิ้น แต่ยังใช้วิธีการจับกลุ่มอยู่กับไฟอื่นๆ ทำให้รู้สึกว่ามันเหมือนดูเป้นโคมเดียว ทั้งที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น

ยกตัวอย่างเช่น Toyota BZ4X ใหม่ มีการเปลี่ยนมาใช้โคมแยกชิ้นตามสมัยนิยม แต่ยังคงเอาไฟหน้าเกาะกลุ่มไว้กับชุดไฟอื่น หรือ Subaru Forester ใหม่ก็มีแนวทางด้านกัน

นอกจากนี้ เทคโนโลยีไฟหน้าใหม่ อย่าง Matrix LED ที่นิยมใช้ในรถยนต์หรูราคาแพง หากในอนาคต มันมีราคาถูกลง แล้วเข้ามาแทนที่การใช้หลอดไฟหน้า LED ที่รถตลาดนิยมใช้

ความสามารถในการควบคุมชุดไฟผ่านซอฟท์แวร์ ในการเลือกจำนวนไฟที่ใช้ในการให้ความเข้มแสง อาจทำให้นักออกแบบในแบรนด์รถต่างๆในอนาคตใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ในการลดไฟหน้าแยกชิ้น กลับมาสู่การรวมชิ้น แต่ทำขนาดให้บางลง

นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ไฟหน้าแยกชิ้น อาจจะอยู่ไม่นานอย่างที่คิด เพราะลูกค้าบางคนก็ไม่ได้ชอบดีไซน์ดูประหลาดของรถในวันนี้

หากเราลองไล่เรียงพัฒนาการไฟหน้าจากรุ่นพ่อสุ่รุ่นเราจริงๆ จะพบว่า มันเริ่มจากโคมจานฉาย หรือ Multi Reflector มาจนยุคไฟซีนอน มีการทำโคมโปรเจคเตอร์ เพื่อรวมแสง และใช้มายาวจนในยุคไฟ LED ก็เริ่มปรับให้มันเป็นโคมแบบจานฉายเล็กๆอีกครั้ง เมื่อการส่องสว่างทำได้ดีขึ้นก็เลยปรับมาเป็นโคมไฟแยกชิ้นแบบปัจจุบัน

กระแส ไฟหน้าแยกชิ้น จะเห็นว่า ทั้งหมดเกิดจากความสอดคล้องของเทคโนโลยี ที่มีอิทธิพลต่อบรรดานักออกแบบยานยนต์ บางเจ้ามันมีแนวทางของแบรนดืที่ต้องการปรับภาพลักษณ์ให้ตรงโจทย์กับลูกค้าที่มองหาด้วย

แนวทางนี้อาจถุกใจบางคนและขัดใจหลายคน คำถามคือ มันจะอยู่อีกยาวนานแค่ไหน อาจเหมือนหลายอย่างที่เพียงชั่วครั้งชั่วคราว มาแล้วก็จากไป

สุดท้ายแล้ว ไฟหน้าแยกชิ้นอาจไม่ใช่เทรนด์ถาวร แต่อาจเป็นแค่ ‘แฟชั่น’ ที่เกิดจากความบังเอิญระหว่างเทคโนโลยีกับรสนิยมในยุคนี้เท่านั้น

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.