การแก้เกมของตนเองในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของ Mercedes-Benz ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดคือการเปิดตัวรถอเนกประสงค์ “GLC with EQ Technology” ออกมา เพื่อทำตลาดแทน Mercedes-EQC SUV

Mercedes-Benz GLC with EQ Technology ถูกสร้างขึ้นบนทรวดทรงตัวถังของ Mercedes-Benz GLC รุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายใน ตามนโยบายใหม่ในการทำรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ ดังนั้น หากมองตัวถังด้านข้าง เราก็จะพบว่าตัวรถรุ่นขุมกำลังไฟฟ้ามีเส้นสายที่แทบไม่ต่างจากตัวรถรุ่นขุมกำลังสันดาปภายในใดๆเลยทั้งสิ้น
เว้นแต่ในส่วนดีไซน์รถหน้า-หลัง ที่ถูกปรับใหม่ ให้ดูโดดเด่นเป็นสง่า เพื่อแสดงความเป็นผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ให้มากขึ้น เช่น ไฟหน้าแบบใหม่ โคมใหญ่ขึ้น แต่ใช้หลอดไฟ LED และแถบไฟ DRL ด้านในที่มีลักษณะเป็นรูปดวงดาว เช่นเดียวกับไฟท้ายขนาดใหญ่แบบ Cross Tail Light ทางด้านหลัง
และแม้จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ต้องใช้ลมระบายความร้อนจากด้านหน้ามากนัก แต่มันกลับได้ใช้กระจังหน้าขนาดใหญ่กว่ารุ่นขุมกำลังสันดาปภายใน (ซึ่งเป็นแบบปิดทึบอยู่ดี) มาพร้อมกับแถบพร้อมเกล็ดสี่เหลี่ยม 3 ชั้น ซึ่งหากนับจำนวนเกล็ดทั้งหมดรวมกัน ทาง Mercedes ก็ระบุว่ามันมีจำนวนมากถึง 942 เกล็ดด้วยกัน โดยที่พื้นหลังความสว่างของมัน ก็จะใช้ดวดงไฟ LED มากถึง 140 ดวงในการทำงาน

แม้จะเป็นรุ่นเล็ก แต่ภายในยังคงจัดเต็มตามฉบับ Mercedes ด้วยหน้าจอ MBUX Hypersceen ขนาดใหญ่ถึง 39.1 นิ้ว กางเต็มพื้นที่คอนโซลหน้า, ติดตั้งไฟแวดล้อมรอบห้องโดยสาย, ใช้หลังคาแบบพาโนรามิคกลาสรูฟ ซึ่งหากโรแมนติคไม่พอ ลูกค้ายังสามารถเลือกติดตั้งออพชัน “Magical Experience” เข้าไปได้อีก เพื่อเพิ่มดวงดาว (LED) บนหลังคาเข้าไปอีก 162 ดวง
นอกนั้น ก็จะเป็นกหารทำช่องแอร์กรอบกลมด้านข้าง และมีช่องลมแอร์ตรงกลางติดตั้งด้านล่าง แล้วถัดลงมาจึงพบกับถาดวางโทรศัพท์พร้อมระบบไวร์เลสชาร์จทั้ง 2 ตำแหน่ง, ช่องวางแก้วน้ำ, และจะตกแต่งผิววัสดุต่างๆด้วยวัสดุหนัง หรือไม่ก็ลายไม้
ด้านรายละเอียดทางเทคนิคของตัวรถ ยังไม่ได้มีการเปิดเผยข้อมูลออกมามากนัก นอกไปจากระยะฐานล้อ 2,972 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่ายาวกว่ารุ่นสันดาปภายในอยู่ 80 มิลลิเมตร เพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่วางขาภายในห้องโดยสาร และยังมีพื้นที่เก็บสัมภาระความจุ 128 ลิตร ซึ่งสามารถขยายได้สูงสุดเป็น 570 ลิตร เมื่อมีการพับเบาะแถวหลังลง
ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ขับเคลื่อนตัวรถ ทางค่ายระบุว่าในรุ่นบนสุดรหัส GLC 400 4MATIC จะได้มอเตอร์คู่กำลังรวม 483 แรงม้า ขณะที่รุ่นย่อยอื่นๆยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลออกมา เพียงแต่บอกว่าทุกรุ่นจะใช้แบตเตอรีขนาดเดียวกันทั้งหมด ที่ 94 kWh ซึ่งช่วยให้รถสามารถรองรับระยะทางในการวิ่งได้ไกลสุดถึง 713 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน WLTP
พร้อมกันนี้ตัวแบตเตอรี่ยังรองรับการชาร์จไฟกลับด้วยกำลังสูงสุดถึง 330 kW ช่วยให้มันสามารถชาร์จไฟสำหรับการวิ่งด้วยระยะทาง 300 กิโลเมตร ได้ภายในเวลาเพียง 10 นาที เท่านั้น
ระบบกันสะเทือน เล่นใหญ่ด้วยการยกเทคโนโลยีของ S-Class มาใส่ นั่นคือระบบช่วงล่างถุงลมไฟฟ้า “Airmatic Air Suspension” พร้อมระบบเลี้ยว 4 ล้อ กับระบบควบคุมการทำงานของช่วงล่างทั้งหมดด้วยไฟฟ้า เพื่อการันตีความนุ่มนวลของรถขณะใช้งาน
โดยระบบคุมช่วงล่างที่ว่านี้ จะมีการดึงข้อมูลจากเซนเซอร์ตรวจจับวัตถุรอบคันร่วมด้วย รวมถึงยังสามารถดึงข้อมูลแผนที่จาก Google Maps เพื่อจะลองสภาพการจราจร เพื่อให้ช่วงล่างสามารถทำงานได้อย่างแม่นยำตามสภาพถนน และรักษาเซ็ทติ้งที่ตั้งเอาไว้ตอนแรกให้นานที่สุดด้วย
และทางค่ายยังปรับปรุงระบบ Regeneration หรือระบบสร้างไฟฟ้ากลับจากแรงเฉี่อยตัวรถใหม่ โดยคราวนี้ในการเซ็ทติ่งค่าความหน่วงไว้ที่ขั้นสูงสุด ก็จะสามารถดึงกำลังไฟกลับได้มากถึง 300 kW กันเลยทีเดียว
ด้านราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ และตลาดเป้าหมายของตัวรถ ทางค่ายยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลส่วนนี้ใดๆออกมาทั้งสิ้น จนกว่าจะถึงกำหนดการเริ่มวางขายจริงในทวีปยุโรป นั่นคือช่วงไม่เกินต้นปีหน้า