ไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็น Suzuki ทำรถอเนกประสงค์แนวเน้นความหรูหรา และในที่สุดมันก็เกิดขึ้นแล้วกับ Suzuki Victoris ที่จะประเดิมขายกันก่อนในประเทศอินเดียโมเดลนี้

Suzuki Victoris รถอเนกประสงค์รุ่นเรือธงของแบรนด์ Suzuki ถูกเปิดตัวแล้วในประเทศอินเดีย พร้อมนำเสนอภาพลักษณ์ของรถที่อัดแน่นไปด้วยลูกเล่นพรีเมียม โดยเฉพาะหากเทียบดีไซน์ของรถรุ่นนี้กับ Grand Vitara เราจะพบว่ามันมาพร้อมกับงานดีไซน์ที่ดูมีความบึกบึนมากกว่า
ทั้งกันชนหน้า ที่มีการออกแบบช่วงหน้าให้ดูบึ้งตึง ด้วยสัดส่วนและช่องดักลม 2 ชัด ซึ่งถูกวาดด้วยเส้นแบบคางหมู, ติดตั้งแถบกระจังหน้าที่จะวาดเส้นโครเมียมเป็นแนวเดียวกันกับแถบไฟ DRL ในโคมไฟหน้าดีไซน์โฉบเฉี่ยว พื้นหลังดำ ช่วยเพิ่มความดุดันให้กับดวงไฟหลักแบบ Projector LED และยังมีไฟตัดหมอกซ่อนไว้ในหลุมช่องลมด้านล่างอีกชุด
ด้านข้างตัวรถ ใส่ภาพลักษณ์กึ่งลุยด้วยขอบคิ้วซุ้มล้องานพลาสติกด้าน และขอบกันกระแทกตัวถังด้านล่างก็ทำจากวัสดุเดียวกัน นอกนั้นในด้านเส้นสายสันไหล่แก้มข้าง และบานประตู ก็จะมีการปั๊มทรงให้เล่นกับแสงเงาเพื่อเพิ่มมิติตัวรถให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้นเมื่อมองเข้ามา และแนวหลังคายังใส่ความลาดเอียงจากเสา A เล็กน้อย โดยที่ด้านบนสุดยังมีแร็คหลังคาทรงเตี้ยติดตั้งมาให้อีก
ด้านท้ายรถ ดูทันสมัยด้วยการวาดเสาท้ายให้มีความลาดเอียงกว่ารถอเนกประสงค์ทั่วๆไป แถมยังมีการใส่สปอยเลอร์ด้านบน พร้อมครีบกั้นลมด้านข้าง และยังเสริมความสะดุดตาด้วยไฟท้ายแบบ Cross Tailight อีก
ขณะที่ฝาท้าย จะมีการติดตั้งชิ้นแผ่นครอบตรงกลางเข้ามา เพื่อให้เส้นสายรับกับแนวไฟท้ายท้านบน และกันชนท้าย ก็จะเป็นชิ้นงานพลาสติกด้านทั้งก้อน โดยมีเพียงช่วงครึ่งล่างตรงกลางเท่านั้น ที่ถูกทำสีเงินเพื่อตัดโทนไม่ให้รถดูกลืนจนเกินไป
ภายในห้องโดยสาร ตกแต่งด้วยโนสีขาว-ดำแปลกตา แถมยังมาพร้อมกับไฟแวดล้อม 64 เฉดสี ตรงยุคสมัย คอนโซลหน้าถูกแบ่งเป็นแบบ 2 เลเยอร์บน-ล่าง ดูสะอาดตา แต่ยังมาพร้อมกับช่องแอร์ล้อมด้วยกรอบปัดเงาด้านข้างและกรอบสีเงินผิวด้านตรงกลาง และยังมีแผงปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศทางด้านล่างมาให้อีก ก่อนที่เราจะเจอกับถาดวางโทรศัพท์พร้อมระบบ Wireless Charge
ถัดลงมาอีก คือตำแหน่งของพอร์ทชาร์จไฟแบบ USB-C, USB-A อย่างละหนึ่งจุด, พร้อมคันเกียร์อัตโนมัติแบบดั้งเดิม โดยที่ถัดจากนั้นอีก ก็จะมีปุ่มควบคุมโหมดการทำงานของคันเร่งและเครื่องยนต์ กับปุ่มเบรกมือไฟฟ้าและระบบ Auto Hold
ลูกเล่นภายในห้องโดยสาร ยังมีทั้งในส่วนของชุดหน้าจอแสดงผลข้อมูลตัวรถ Full Digital TFT และ จอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ ขนาดจอละ 10.2 นิ้ว พร้อมระบบ Amazon Alexa ติดตั้งแบบกึ่งลอยตัว ทำงานร่วมกับชุดเครื่องเสียงจาก Harman Kardon และ ระบบ Dolby Atmos, เบาะนั่งคู่หน้าพร้อมระบบปรับไฟฟ้าและระบบระบายอากาศ, พวงมาลัยพร้อมแป้น Paddle Shift, หลังคาพาโนรามิค, และระบบ ADAS พร้อมระบบขับขี่อัตโนมัติเลเวลา 2
ขุมกำลังตัวรถ จะยกมาจาก Suzuki Grand Vitara ยกแผง โดยมีทั้ง รุ่นขุมกำลัง Bi-Fuel ที่สามารถใช้งานได้ทั้งน้ำมันเบนซิน และก๊าส CNG, รุ่น Mild-Hybrid, และรุ่น Full Hybrid ซึ่งตัวหลังสุด จะถือว่าเป็นรุ่นที่ได้เครื่องยนต์แรงสุด
เพราะมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 116 แรงม้า PS และแรงบิดสูงสุด 141 นิวตันเมตร ก่อนส่งกำลังไปยังชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD แบบ Allgrip มาให้ด้วย
โดยแม้ทางค่ายจะบอกว่านี่คือรถรุ่นเรือธง แต่ขนาดตัวของมัน กลับมีตัวเลขเพียง 4,360 มิลลิเมตร ในด้านยาว, 1,795 มิลลิเมตร ในด้านกว้าง, และ 1,655 มิลลิเมตร ในด้านสูง กับ 2,600 มิลลิเมตร ในเรื่องของระยะฐานล้อ ซึ่งถ้าว่ากันตามตรง มันก็คือขนาดตัวรถในเซกท์เมน Sub Compact SUV หรือเทียบเท่ากับ Mazda CX-30, Honda HR-V, Nissan Kicks, หรือ Subaru Crosstrek (XV) เท่านั้น
ด้านราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ทาง Maruti Suzuki ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขออกมา แต่สื่อท้องถิ่นก็ได้มีการประเมินเอาไว้คราวๆแล้วว่าจะอยู่ในช่วงราวๆ 490,000 – 875,000 บาท
ส่วนทางค่ายจะมีการทำตลาดรถรุ่นนี้ในต่างประเทศ เหมือนกับที่กำลังทยอยทำในรถโมเดลอื่นๆหรือไม่ ก็ต้องรอการอัพเดทข้อมูลกันอีกครั้งจากบริษัทแม่ในประเทศญี่ปุ่นกันต่อไป