รถยนต์ไฟฟ้า เป็นนวัตกรรมในการขับขี่ที่หลายคนให้ความสนใจ โดยเฉพาะเมื่อมองในแง่การประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
คำถามหนึ่งที่สาวกรถยนต์ไฟฟ้ามักจะเคยได้ยินมานาน “รถยนต์ไฟฟ้ามันมีเกียร์เดียว จริงหรือเปล่า?” แล้วทำไมถึงทำให้ขับได้เทียบเท่า หรือบางทีดีกว่ารถน้ำมัน วันนี้เราจะมาตอบคำถามในเรื่องนี้กันครับ
ก่อนอื่น … “เป็นความจริงครับ” ที่รถยนต์ไฟฟ้ามีอัตราทดเพียงอัตราเดียว มันจะทดกำลังขับเพียงจากตัวมอเตอร์ลงล้อ เพื่อไม่ให้ล้อหมุนตามรอบมอเตอร์แบบ 1 ต่อ 1 ซึ่งจะทำให้รถมีความเร้าใจในการขับขี่มากเกินไป จนอาจขับไม่ได้ทุกคน หากใช้มอเตอร์ต่อกับชุดล้อโดยตรง
และใช่ครับ ถ้าวิศวกรไม่ติดตั้งอัตราทดกำลัง ระหว่างมอเตอร์และชุดล้อ รถยนต์ไฟฟ้าอาจกินไฟสักหน่อย
แต่ในความเคยชินของหลายคนแล้ว คำว่า “เกียร์” ของหลายคน อาจหมายถึง อุปกรณ์ควบคุมกำลังที่มีอัตราทดหลายจังหวะ ที่ต่อจากแหล่งกำเนิดกำลัง เหมือนในรถสันดาป
หากตีความตามนั้น รถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นรถที่ไม่มีเกียร์ในการขับเคลื่อน
แต่เนื่องจากว่า มันมีอัตราทดระหว่างมอเตอร์และชุดล้อ แล้วเราควรเรียกว่า เกียร์ หรือเปล่า

ในอดีตทางเทคนิค เราจะเรียก อัตราทดชุดขับดังกล่าวว่า “อัตราทดเฟืองท้าย” หรือ การทดก่อนที่กำลังจะนำกำลังขับจไปหมุนล้อ ในอดีตช่างและผู้เชี่ยวชาญ จะเรียกว่า “เฟืองส่งท้าย” (Final Drive Ratio)
ด้วยรถยุคก่อนเป็นเครื่องยนต์วางหน้าขับเคลื่อนล้อหลัง และที่กลางเพลาหลังจะมีชุดเฟืองขับเคลื่อนชุดล้อ ที่รับกำลังมาจากการหมุนเพลากลาง ซึ่งจะเป็นอัตราเดียว เหมือนกับที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน
ดังนั้นอัตราทดระหว่างเฟืองและมอเตอร์ไฟฟ้าควรจะเรียกว่า “อัตราทดเฟืองท้าย” มากกว่า และมันไม่ใช่เกียร์ส่งกำลัง ที่มีหลายอัตราทดแต่อย่างใด บางคนอาจเรียกว่า “ชุดทดเดียว” (Single Reduction Gear) ก็ไม่ผิด เพราะมันไม่ได้อยู่ที่เพลาหลังแล้ว แต่อยู่ในชุดมอเตอร์เลย
สาเหตุสำคัญ ที่รถยนต์ไฟฟ้า ไม่จำเป็นต้องมีชุดเกียร์ในการขับเคลื่อนเหมือนเครื่องสันดาป
สืบเนื่องจากธรรมชาติของมอเตอร์ไฟฟ้าสามารถสร้างแรงบิดสูงในรอบต่ำได้ดี แถมพลังขับแรงม้ามอเตอร์ก็สูงกว่ามาก และมอเตอร์ไฟฟ้ามีความสามารถในการทำรอบหมุนได้เยอะกว่าเครื่องยนต์
ตามปกติ เครื่องยนต์เบนซิน จะมีอัตราการรอบเร่งได้สูงสุด 6,000-7,000 รอบต่อนาที และ อาจสูงถึง 10,000 รอบต่อนาที สำหรับเครื่องยนต์ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อการแข่งขันโดยเฉพาะ
แต่มอเตอร์ไฟฟ้าส่วนใหญ่สามารถทำรอบสูงกว่า 10,000 รอบ/นาที ได้อยู่แล้ว ตั้งแต่เริ่มต้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องทดรอบเพิ่มเติมในการทำงานในแต่ละช่วง เหมือนเครื่องยนต์ ที่มีช่วงรอบการทำงานจำกัดมากกว่า
นั่นทำให้ รถยนต์ไฟฟ้าจึงมีธรรมชาติสำคัญที่เหนือกว่ารถน้ำมันทั่วไป คือ การเรียกอัตราเร่งรวดเร็วทันใจ ภาษาทางเทคนิคเรียกว่า “แรงบิดฉับพลัน” (Instant Torque) ช่วยให้รถมีความสนุกสนานในการขับขี่มากขึ้น
อย่างไรก็ดี ด้วยการไม่มีชุดเกียร์ทำให้ในยามขับความเร็วสูงมากๆ จะมีความร้อนสะสมในระหว่างการขับขี่ แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน ที่มีการพัฒนากระบวนการระบายความร้อนในชุดขับเคลื่อน รวมถึงแบตเตอร์รี่ ทำให้ปัญหานี้ เริ่มคลายลงไปตามลำดับ
ถึงแบบนั้น ในบรรดารถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง ก็เริ่มติดตั้งชุดทดมอเตอร์มากกว่า 1 อัตราทด มาให้อาทิ Porsche Taycan ตัดสินใจทำ อัตราทด 2 จังหวะสำหรับมอเตอร์ไฟฟ้า ส่วนในรถจีน ก็มีอย่างรุ่น Marvel R เป็นต้น
โดยแบ่งเป็นเฟือง ตำแหน่ง Low และ High ปัจจุบัน แนวทางนี้ เริ่มขยายผลมาถึงบรรดารถไฮบริดที่จำเป็นต้องเดินทางขึ้น-ลงทางลาดชัน บรรดา SUV เพื่อทำให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในทุกเส้นทาง
ดังนั้น รถยนต์ไฟฟ้ามีเกียร์เดียว ถูกหรือไม่ ต้องถามกลับว่า คุณนิยาม คำว่า “เกียร์”อย่างไร
ถ้าหมายถึง ชุดระบบส่งกำลังหรือ Transmission ที่มีรถสันดาป ต้องตอบว่า อัตราทดนั้นไม่ใช่ “เกียร์” แต่เป็นการทดกำลังมอเตอร์หรือ “อัตราทดเฟืองท้าย” พูดให้ถูกต้องที่สุดตามหลักวิศวกรรม ต้องเรียกว่า
“ชุดทดเดียว” (Single Reduction Gear)
กลับกันถ้าหมายถึง การทดกำลังใดๆ ก็ตามระหว่างแหล่งกำลัง ไปยังล้อและยาง ใช่ครับ รถยนต์ไฟฟ้ามีเกียร์เดียว ถูกต้องแล้วครับ
และด้วยการไม่มีชุดห้องเกียร์ หรือ Transmission จึงลดค่าใช้จ่ายในการดูแลเกียร์ รวมถึงการเปลี่ยนถ่านน้ำมันเกียร์ตามระยะที่กำหนด แต่… คุณก็ยังต้องเปลี่ยนน้ำมันเฟืองท้าย ซึ่งก็คือน้ำมันสำหรับชุดอัตราทดเฟืองขับมอเตอร์…นั่นเอง (แต่ที่แพง ลิตรละ 3,000-4,000 บาทเพราะต้องทนความร้อนสูงในระหว่างการใช้งาน)
และนั่นคือ สิ่งที่เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าอาจยังไม่ตระหนักมาก่อน ยิ่งใครใช้รถ 2 มอเตอร์ด้วยแล้ว ค่าใช้จ่ายตรงนี้ ทวีคูณขึ้นไป