Zeekr 7X นับเป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้าที่หลายคนรอคอย จากทั้งหน้าตาอันหล่อเหลา ขนาดตัวที่ใหญ่โต แถมยังมาพร้อมกับคุณสมบัติที่น่าสนใจมากมาย ซึ่งในวันนี้ก็ได้พร้อมสำหรับการวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว ด้วยราคาเริ่มต้น 1,399,000 บาท

พร้อมขายอย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโมเดลที 3 ของแบรนด์ในไทย กับ Zeekr 7X รถอเนกประสงค์ขนาดกลาง (Mid-Size SUV) ด้วยมิติด้านยาว 4,787 มิลลิเมตร, ด้านกว้าง 2,100 มิลลิเมตร, และด้านสูง 1,650 มิลลิเมตร, และระยะฐานล้อที่ยาวถึง 2,900 มิลลิเมตร
นั่นจึงทำให้ภายในห้องโดยสารของรถคันนี้มีทั้งความกว้างขวาง และมีระยะวางขาที่เหลือเฟือ พร้อมลูกเล่นอำนวยความสะดวกจัดเต็ม ทั้ง ชุดจอภาพ 3 จอ ทำงานเชื่อมต่อกัน ตั้งแต่ จอผู้ขับขี่ขนาด 13.02 นิ้ว, จอกลาง ขนาด 16 นิ้ว มาพร้อมความละเอียดขนาด 3.5K และยังมี AR Head Up Display ขนาด 36.21 นิ้ว ช่วยให้สามารถแสดงผลได้ โดยผู้ขับขี่ไม่ต้องละสายตาจากถนน โดยทั้งหมดทั้งมวลนี้ จะอาศัยการประมวลผลโดยชิป Qualcomm Snapdragon 8295 Processor ซึ่งถือว่าใหม่ที่สุดและฉลาดที่สุดเป็นอันดับต้นๆสำหรับการใช้งานบนรถยนต์ในเวลานี้
เบาะนั่งทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เน้นความกว้าง สบาย แต่บุโฟมมาแน่นกระชับ พร้อมเสริมด้วยระบบปรับไฟฟ้าในส่วนเบาะคู่หน้า และมีระบบระบายอากาศ กับระบบนวดมาให้แบบครบๆ, เหนือหลังคามีกระจกบานใหญ่กินพื้นที่มากถึง 1.84 ตารางเมตร เพื่อเพิ่มความโปร่งสบายภายในห้องโดยสาร, ระบบเสียง ZEEKR Sound Pro ที่มาพร้อมลำโพงคุณภาพระดับสตูดิโอจำนวน 21 จุดรอบคัน เพื่อมิติการฟังเสียงเพื่อความบันเทิงที่ล้ำลึก

เมื่อออกมาจากห้องโดยสาร โดยการเปิดประตูไฟฟ้า ที่จะมีให้เฉพาะในรุ่น Performance เราจะพบว่าตัวรถมีพร้อมกับจุดขายในเรื่องงานดีไซน์ภายนอกมากมาย ทั้ง ระบบไฟหน้าแบบจอแสดงผล Stargate Front Light Panel และชุดล้ออัลลอยด์ฟอร์จ ขนาด 21 นิ้ว รัดด้วยยาง ขนาด 265/40 R21 ซึ่งจะเป็นออพชันที่มีให้เฉพาะรุ่นท็อปเช่นกัน ส่วนรุ่นกลางกับรุ่นล่างจะใช้ไฟหน้าแบบ LED ธรรมดา และได้ล้ออัลลอยด์ขนาด 19 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 255/50 R19
โครงสร้างตัวถังเน้นความแข็งแรงเพื่อความปลอดภัยเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะกับโครงสร้างบริเวณระบบกันสะเทือนหลัง ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโลโนโลยีแบบ Single Piece die Cast Aluminium Body เพื่อเพิ่มความแข็งแรงแต่น้ำหนักเบา และยังเสริมความปลอดภัยด้วยถุงลมนิรถัยอีก 7 จุด
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีกล้องความละเอียดสูง 12 ตัว และ เซนเซอร์ 12 จุด รวมถึง เราดาห์ 1 ตัว ทั้งหมดควบคุมผ่านชิพเซท Mobileye Q5H พร้อมเทคโนโลยี 7 นาโนเมตร เพื่อการสอดส่องและป้องกันภัยต่างๆรอบคัน และเก็บข้อมูลให้กับระบบ ADAS ที่ใส่มาให้ครบๆ
ทั้ง ระบบช่วยควบคุมให้อยู่กลางเลน LCC (Lane Centering Control), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control), ระบบป้องกันการชนด้านหน้า CMSF (Collision Mitigation Support Front), ระบบเตือนการชนจากด้านหลัง CMSR (Collision Mitigation Support Rear), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keeping Assist), ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning), ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention), ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection), ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning), ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ DMS (Driver Monitoring System), ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ APA (Automated Parking Assist), ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินเมื่อจอดรถ PEB (Parking Emergency Braking), และระบบช่วยเปลี่ยนเลนอัตโนมัติ ALC (Automatic Lane Change)
ระบบกันสะเทือนตัวรถเป็นแบบอิสระทั้ง 4 ล้อ โดยในรุ่นท็อป จะได้รับการอัพเกรดลูกเล่นเพิ่มเติม ทั้งระบบช่วงล่างถุงลมไฟฟ้า พร้อมความสามารถในการปรับระดับความสูง-ต่ำ 5 ระดับ ตามโหมดการขับขี่ที่ใช้งาน, ระบบเบรกใช้ดิสก์เบรกแบบมีรูและร่องระบายความร้อน ทำงานร่วมกับคาลิปเปอร์เบรกจาก Akebono
ซึ่งก็เพื่อให้มันรองรับกับขุมกำลังของรุ่นท็อป ตัว Performance AWD ที่จะได้ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ให้กำลังสูงสุด 637 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 710 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนที่ 4 ล้อแบบ All-Wheel Drive ทำงานร่วมกับ แบตเตอรี่ Lithium-ion (Qilin Battery – NMC) 800V ความจุ 100 kWh ที่รองรับระยะทางในการใช้งานสูงสุดต่อชาร์จ 665 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) ในรุ่น Performance AWD
ส่วนรุ่นรองลงไป อย่างรุ่น Long Range RWD ก็จะได้ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว ให้กำลังขับสูงสุด 416 แรงม้า ทำแรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง แต่จะยังคงทำงานร่วมกับ แบตเตอรี่ Lithium-ion (Qilin Battery – NMC) 800V ความจุ 100 kWh เช่นกัน ทำให้ระยะทางในการใช้งานสูงสุดต่อชาร์จ ขยับขึ้นไปเป็น 730 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC)
และในรุ่นล่างสุด ตัว Standard RWD ก็จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแบบเดียวกับรุ่นกลาง แต่ได้แบตเตอรี่ขนาดเล็กกว่า คือ แบตเตอรี่ Lithium-ion (Qilin Battery – NMC) 800V ความจุ 75 kWh ทำให้มันรองรับระยะทางในการใช้งานสูงสุดต่อชาร์จน้อยลง เหลือ 565 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC)
โดยในขณะที่ข้อมูลขีดความสามารถของตัวรถรุ่นล่าสุดยังมีการเปิดเผยออกมาด้วยข้อมูลจำกัด แต่สำหำรับตัวรถรุ่น Long Range และ Performance ที่ใช้แบตเตอรี่ลูกเดียวกัน ก็จะสามารถรองรับกำลังไฟในการชาร์จด้วยโหมด DC ได้สูงสุด 420 กิโลวัตต์ และยังสามารถชาร์จไฟในโหมด AC ด้วยกำลังไฟสูงสุดได้อีก 22 กิโลวัตต์ ทำให้มันสามารถชาร์จไฟจาก 10 – 80% ได้เร็วสุดภายในเวลาเพียง 16 นาที เท่านั้น
โดยตัวรถ Zeekr 7X จะสนนราคาตาม 3 รุ่นย่อย ดังนี้
- Standard RWD : 1,399,000 บาท
- Long Range RWD : 1,599,000 บาท
- Performance AWD : 1,799,000 บาท
และทุกรุ่นย่อยจะมาพร้อมกับการระประกัน และข้อเสนอพิเศษคือ การรับประกันตัวรถ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร, รับประกันแบตเตอรี่ High-voltage 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร, ฟรี ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี, ฟรี Wall Box พร้อมติดตั้ง, บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance 24 ชั่วโมง และ ฟรี บัตรกำนัล (ZEEKR Voucher) สำหรับแลกซื้อสินค้าหรือการบริการของ ZEEKR มูลค่ารวม 20,000 บาท