จากข้อมูลที่ผู้บริหารยืนยันว่า ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ เราจะได้เห็น Toyota Yaris Ativ มีรุ่นขุมกำลัง HEV หรือไฮบริดให้ได้เลือกซื้อกันด้วย ทำให้เกิดคำถามตามมาในทันทีว่า แล้วขุมกำลังแบบใหม่ของมันจะว่านี้ จะมีรายละเอียดเป็นอย่างไรกันบ้าง ?

โดยในปัจจุบัน Toyota Yaris Ativ มาพร้อมกับขุมกำลัง 3NR-VE / 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว แบบ Dual VVT-iE ชนาดความจุ 1,197cc กำลังสูงสุด 94 PS ที่ 6,000 รอบ/นาที และมีแรงบิดสูงสุดอีก 110 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i พร้อม Sequential Shift 7 สปีด
ซึ่งแม้ขุมกำลังลูกนี้จะทำให้รถมีอัตราสิ้นเปลืองกำลังดีสำหรับการใช้งาน แต่มันกลับมีกำลังน้อยเกินไป มอบอัตราเร่งในการใช้งานช้าเกินไปมาก จากประสบการณ์ของผู้ใช้หลายคน
เมื่อประกอบกับการที่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีการเสริมกำลังเครื่องยนต์ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง การปรับปรุงรถ Yaris Ativ ให้กลายเป็นรถขุมกำลังไฮบริด จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ และเป็นข่าวให้ทุกคนได้ยินกันตั้งแต่ปี 2023 หลังการเผยโฉมรุ่นปกติเพียงไม่ถึงปีเท่านั้น

โดยขุมกำลังลูกใหม่แบบไฮบริด ที่ทาง Toyota จะใส่เข้าไปใน Yaris Ativ ถูกเก็งกันเอาไวว่ามันจะเป็นหัวใจเดียวกันกับ Toyota Yaris Cross นั่นคือ ขุมกำลังเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง DOHC 16 วาล์ว พร้อมระบบ Dual VVT-i ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาด 1,496cc ให้กำลังสูงสุด 91 แรงม้า PS ที่ 5,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 121 นิวตันเมตร ที่ 4,000 – 4,800 รอบ/นาที
ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 580 โวลท์ ให้กำลังสูงสุด 80 แรงม้า PS และแรงบิดสูงุสุด 141 นิวตันเมตร ซึ่งรับไฟมาจากแบตเตอรี่ลิเทียม-ไอออน ขนาด 4.3 Ah 177.6 โวลท์ ใต้ท้องรถ ส่งผลให้มันสามารถทำงานร่วมกันในแบบ Full-Hybrid และให้กำลังสูงสุดร่วมกันที่ 111 แรงม้า PS และแรงบิดสูงสุด 141 นิวตันเมตร
และสาเหตุที่ทำให้หลายคนคาดการณ์ว่าตัวรถทั้งสองรุ่นนี้จะใช้ขุมกำลังร่วมกัน ก็เป็นเพราะพวกมันใช้แพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐาน DNGA ร่วมกัน ดังนั้น การที่ทางค่ายจะนำเอาขุมกำลังของพวกมันมาสลับใช้ร่วมกันก็ย่อมไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่นัก และเป็นเทรนด์ที่หลายๆผู้ผลิตทำกันในช่วงไม่กี่ปีมานี้อยู่แล้ว
นอกนั้นในส่วนความเปลี่ยนแปลงอื่นๆของตัวรถ หากเป็นเรื่องของออพชันต่างๆ คาดว่าจะไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก ไม่ว่าจะเป็นระบบกันสะเทือน, ระบบบังคับเลี้ยว, และลูกเล่นต่างๆทั้งในส่วนของระบบอำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัย
ขณะที่รูปลักษณ์ของตัวรถ อาจจะมีการปรับเปลี่ยนไปเล็กน้อย เช่น ตามส่วนของงานออกแบบกันชนหน้า กันชนท้าย และชุดล้อ หรืออาจจะมีการปรับเปลี่ยนงานออกแบบภายในห้องโดยสารอีกเล็กน้อย เช่นการตกแต่งคอนโซลหน้า และเบาะนั่งใหม่เพิ่มเติมด้วย
แต่ก็ไม่แน่ว่านั่นอาจจะเป็นการปรับโฉมรถในลักษณะ Minor Change ซึ่งตัวรถฝั่งไลน์อัพที่ยังใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในล้วน จะยังคงได้ใช้เส้นสายแบบใหม่นี้ด้วยเช่นกัน เพียงแต่อาจจะไปแตกต่างกันที่รายละเอียดการขลิบชิ้นส่วนตกแต่งต่างๆ และโทนสีภายในห้องโดยสารเพียงเล็กน้อยก็เท่านั้น ซึ่งต้องรอดูกันต่อไป ในวันที่ 21 สิงหาคม ที่จะถึงนี้