BMW ประเทศไทย เผยโฉม BMW 2-Series รุ่นใหม่ ประเดิมด้วยรุ่นย่อย 220 Grand Coupe M Sport Pro ด้วย ราคา วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ที่ 2,199,000 บาท

BMW 2-Series Gran Coupe 2025 มาพร้อมกับการปรับโฉมครั้งใหญ่จนได้ชื่อว่าคือรถ เจเนอเรชันที่ 2 ของตระกูล ซึ่งมันได้ถูกสร้างขึ้นโดยยังคงอาศัยการเอาพื้นฐานของตัวรถโฉมก่อนหน้า มาปรับใหม่เพื่อให้ตัวรถมีความทันสมัย และตอบโจทย์ลูกค้าในช่วงเวลาปัจจุบันมากขึ้น
เริ่มจากการปรับเปลือกนอกใหม่ ได้แรงบันดาลใจเดียวกันกับคู่แฝดร่าง แฮชท์แบ็ค BMW 1-Series ทั้งไฟหน้ากรอบโคมคล้ายเดิม แต่มีการปรับรายละเอียดหลอดไฟและแถบ DRL ใหม่ให้ตรงยุค, กรอบกระจังหน้าปรับใหม่ด้วยเส้นกรอบที่ชัดเจนยิ่งขึ้นและยังมีขนาดเล็กลงตามคำเรียกร้อง โดยยังไม่ลืมที่จะใส่ “กรอบกระจังหน้าเรืองแสง” ลูกเล่นประจำตัวของรถยนต์จาก BMW ยุคปัจจุบัน
ตัวกันชนหน้าเอง ก็มีการปรับใหม่ให้ดุดันยิ่งขึ้น ขยายขนาดช่องดักลม และเพิ่มความยื่นของชายล่างออกไปทางด้านหน้า พร้อมปรับเส้นกรอบกระจังหน้าด้านข้างผายออกจากบนลงล่าง เพื่อเพิ่มความโฉบเฉี่ยว สุดท้ายจึงปรับดีไซน์กรอบช่องลมด้านข้างใหม่ ให้รับกันอย่างลงตัว
เส้นสายตัวถังด้านข้างยังคงดูคล้ายเดิมทั้งหมด เว้นเพียงชุดล้อลายใหม่ ขณะที่ด้านท้ายรถมีการปรับเปลี่ยนไฟท้ายให้โดดเด่น สะดุดตากว่าเดิม แต่ยังคงไม่ลืมการทำฝาท้ายแบบตูดเป็ดซึ่งลากเส้นมาจากแนวหลังคาแบบรถคูเป้ตามคอนเซปท์ดั้งเดิม
ขณะที่ตัวกันชนท้าย จะไม่ได้มาพร้อมกับเส้นสายที่โค้งมนอีกต่อไป และมีการใช้เส้นสายที่เน้นความเหลี่ยมสันตามพี่ๆในซีรี่ย์สูงกว่า ทว่าทาง BMW ก็ยังคงไม่ลืมที่จะใส่ชายล่างกันชนแบบมีครีบดิฟฟิวเซอร์เข้ามาเพื่อความดุดัน
และยังมีสปอยเลอร์หลังที่ฝากระโปรงท้าย ชุดล้อลายปัดเงา ขอบ 19 นิ้ว ซึ่งแท้จริงแล้วก็เป็นเพราะตัวรถเวอร์ชันที่ขายในไทย ณ ช่วงเวลาเปิดตัว จะได้รับการติดตั้งแพ็คเกจตกแต่ง M Sport Pro มาให้เลยตั้งแต่ออกโรงงาน
ภายในห้องโดยสาร ยังคงมาพร้อมกับบรรยากาศคุ้นเคย โดยเฉพาะแผงข้างประตูที่ดูเหมือนจะแทบไม่ได้ปรับดีไซน์และตำแหน่งปุ่มกดรวมถึงมือเปิดประตูใดๆเลยทั้งสิ้น นอกจากชุดพวงมาลัยใหม่ ให้หน้าตาดูสปอร์ตกว่าเดิม โดยเฉพาะตัวก้านด้านล่าง กับชุดเบาะนั่งปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง ดีไซน์ใหม่ ซึ่งคราวนี้มีออพชันระบบนวดมาให้เป็นครั้งแรก
ส่วนคอนโซลหน้า หากไม่นับคอนเซปท์การออกแบบให้ชุดหน้าจออินโฟเทนเมนท์และช่องแอร์ ถูกหันเบี่ยงเข้าหาผู้ขับเป็นหลัก ตามฉบับรถยนต์ของ BMW แท้จริงแล้วชิ้นส่วนต่างๆล้วนเป็นของใหม่ทั้งหมด โดยเริ่มจากปุ่มกดควบคุมระบบปรับอากาศภายในรถที่หายไป เพราะทางค่ายเอาฟังก์ชันการสั่งการทั้งหมดไปรวมไว้ในจอ เว้นเพียงการปรับทิศทางลมที่ต้องใช้มือไถตัวปรับด้านล่างช่องแอร์ดังเดิมอยู่เท่านั้น
ขณะที่คอนโซลกลางระหว่างผู้ขับและผู้โดยสาร ก็มาพร้อมกับสวิชท์ปรับตำแหน่งเกียร์ แทนที่คันเกียร์แบบดั้งเดิม โดยที่ตอนนี้ทาง BMW ได้มีการถอดเอาลูกบิดคุมหน้าจอออกไปจากตำแหน่งดังกล่าวแล้วเป็นที่เรียบร้อยเช่นกัน เพื่อความสะอาดตา แม้ว่ามันอาจจะดูเหมือนการขาดหายเอกลักษณ์ดั้งเดิมของแบรนด์ไปเล็กน้อยก็ตาม
กลับขึ้นมาที่หน้าจอแสดงผล แน่นอนว่าจะเป็นการออกแบบให้ชุดจออินโฟเทนเมนท์เชื่อมต่อกับจอแสดงผลข้อมูลตัวรถเป็นชิ้นเดียว ในลักษณะของจอ Curved Screen ซึ่งตัวจอทั้ง 2 ต่างก็มีขนาดใหญ่กว่าเดิม ด้วยตัวเลข 10.7 นิ้ว และ 10.25 นิ้ว ตามลำดับ พร้อมระบบปฏิบัติการ iDrive 9 ใหม่ล่าสุด ทำงานร่วมกับชุดลำโพง Harman Kardon 12 ตำแหน่ง
และยังมีระบบ Driving Assistant Plus และ Parking Assistant Plus เสริมด้วยฟังก์ชัน BMW Digital Key Plus อำนวยความสะดวกด้วยการเปลี่ยนสมาร์ทโฟนของคุณให้เป็นกุญแจรถ รองรับทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android ผ่านโทรศัพท์มือถือ Samsung
นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกซื้ออัปเกรดเพิ่มเติมผ่านทางระบบ BMW ConnectedDrive ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชัน Remote Engine Start สำหรับสตาร์ทเครื่องล่วงหน้าก่อนเดินถึงตัวรถด้วยสมาร์ทโฟน และชุดฟังก์ชันอื่น ๆ อีกมากมายในแพ็คเกจเสริม BMW Digital Premium
ด้านขุมกำลัง ยังคงใช้ ครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ซึ่งถูกปรับจูนใหม่ จนให้พละกำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์ / 204 แรงม้า ที่ 5,000-6,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตรที่รอบเครื่อง 1,450-4,500 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับเกียร์ Steptronic คลัตช์คู่แบบ 7 สปีด ส่งกำลังไปขับเคลื่อนชุดล้อคู่หน้า
โดยทั้งหมดที่ว่ามานี้ ช่วยให้รถสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 7.3 วินาที หรือหากต้องการเพิ่มความแรงขึ้นไปอีกขั้น ผู้ขับขี่ยังสามารถเรียกใช้ฟังก์ชัน M Sport Boost ได้จากแป้นเปลี่ยนเกียร์บริเวณพวงมาลัย เพื่อเพิ่มแรงบิดสูงสุดให้สูงขึ้นไปอีก โดยที่ความเร็วสูงสุดเองก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน มาลิมิตที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ช่วงล่างคราวนี้ ยังได้รับการติดตั้งระบบโช้คไฟฟ้าแบบ Adaptive M ที่สามารถปรับตัวรับแรงกระแทกที่แตกต่างกันตามความถี่การสั่นสะเทือนของตัวรถ และโหมดการขับขี่ ช่วยให้รถสามารถมอบได้ทั้งความนุ่มสบาย ยามขับชิลๆ หรือความคล่องตัว แน่นกระชับยามที่ผู้ใช้ต้องการขับหวดทำเวลา
โดย BMW 220 Gran Coupé M Sport Pro มีให้เลือกจับจองได้ใน 4 สี ได้แก่ ดำ Black Sapphire Metallic, ขาว Alpine White Solid, เทา Brooklyn Grey Metallic (จับคู่กับเบาะหุ้มวัสดุ Veganza แบบเจาะรูระบายอากาศ สีแดง Coral Red ตัดดำ) และน้ำเงิน Portimao Blue Metallic (พร้อมเบาะหุ้มวัสดุ Veganza แบบเจาะรูระบายอากาศ สีดำล้วน) พร้อมสนนราคาวางจำหน่ายที่ 2,199,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คเกจ BSI Standard ระยะเวลา 4 ปี)