ครั้งหนึ่ง Chevrolet ได้ทำการปรับโฉม Corvette ครั้งใหญ่ จากรถสปอร์ตสไตล์อเมริกันมัสเซิลคาร์ ให้กลายเป็นรถสปอร์ตคลาสซุปเปอร์คาร์ แต่มาวันนี้ กับ Corvette ZR1X มันก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีกขั้น จนสามารถเรียกได้ว่ามันคือรถยนต์ระดับ “ไฮเปอร์คาร์” เข้าไปแล้ว

“นักจากวันแรกที่เราคิดจะทำรถ Corvette ให้เป็นรถเครื่องยนต์วางกลาง, เราก็มี ZR1X ในหัวอยู่แล้ว” Ken Morris รองประธาน General Motors กล่าวอธิบายถึงความเป็นมาของรถ Chevrolet Corvette ZR1X เพื่อบ่งบอกว่ามันคือรถที่อยู่ในแผนมาตั้งแต่เริ่มพัฒนา Corvette C8 เมื่อครึ่งทศวรรษก่อน
“นี่คือการปฏิวัติขั้นสุดของแพลตฟอร์มรถ Corvette เท่าที่เคยมีมา, ตอบโจทย์รถสปอร์ตจากอเมริกันได้กว้างขวางที่สุด และมอบสมรรถนะระดับโลกให้ได้สัมผัสกันตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น” และล่าสุดกับการทำรุ่นสมรรถนะสูงที่สุดเท่าที่รถจากแบรนด์สหรัฐอเมริกาเคยมี คือ ZR1X
ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีระหว่างซุปเปอรคาร์พลังสันดาปล้วน ZR1 และ ซุปเปอร์คาร์พลังไฮบริด E-Ray
ทำให้ ZR1X มาพร้อมกับเครื่องยนต์ LT7 V8 เทอร์โบคู่ ขนาด 5.5 ลิตร ซึ่งให้กำลังสูงสุด 1,064 แรงม้า ที่ 7,000 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 1,122 นิวตันเมตร ที่ 6,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 186 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 196.5 นิวตันเมตร ซึ่งดึงพลังงานจากแบตเตอรี่ขนาด 1.9 kWh ช่วยขับเคลื่อนชุดล้อคู่หน้า และเมื่อมันทำงานร่วมกัน ก็จะทำให้รถสามารถเค้นกำลังสูงสุดได้ที่ 1,250 แรงม้า และสามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลาต่ำกว่า 2 วินาที
แน่นอนว่าเรื่องคงไม่จบง่ายๆแค่การเอาขุมกำลังที่มีอยู่แล้วในรถรุ่นอื่นมาผสมกันแล้วขาย เพราะทาง Chevrolet ยังได้ทำการปรับปรุงระบบประมวลผลใหม่ เพื่อให้วิธีการรีดกำลังของขุมพลังทั้งสองสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไหลลื่น เรียบเนียน เหมาะสมกันมากขึ้น และยังรวมถึงรูปแบบการขับขี่ที่ผู้ใช้ต้องการ เช่นโหมดการขับแบบ Endurance เพื่อการหวดแบบยืนระยะยาวๆในสนามแข่ง, Qualifying การหวดแบบหนักๆเพื่อกดเวลาให้ได้ในรอบเดียว, หรือ Push to Pass เพื่อการอัดกำลังเครื่องเต็มรูปแบบเพื่อการเรียกอัตราเร่งสูงสุด
และด้วยพละกำลังจากขุมกำลังที่มากขึ้น ระบบเบรกของมันจึงได้รับการปรับปรุง ด้วยคาลิปเปอร์เบรก 10 พอทด้านหน้า และ 6 พอทด้านหลัง ทำงานร่วมกับจานเบรกขนาด 16.5 นิ้ว หรือ 420 มิลลิเมตร ยกชุดจากแบรนด์ Alcon และใช้ชุดล้อคาร์บอนใหม่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้รองรับกับชุดเบรกที่ใหญ่กว่าเดิม จนสามารถสร้างแรงหน่วงขณะเบรกได้มากสุดถึง 1.9 G
โดยหากลูกค้าต้องการใช้งานรถในชีวิตประจำวันเป็นหลัก หรือเอาไว้เดินทางไปอวดใครๆบนท้องถนนเล่นๆมากกว่า ก็สามารถเลือกรถรุ่น Touring ซึ่งจะได้ชุดยาง Michelin PS4S กับการเซ็ทช่วงล่างที่เหมาะกับถนนสาธารณะ หรือเอาไปลงสนามแบบขำๆ
ส่วนใครที่อยากได้รถพร้อมซิ่ง ก็ให้เลือกแพ็คเกจ ZTK ซึ่งจะมีการปรับเซ็ทช่วงล่างให้แข็งขึ้นเพื่อรองรับการขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูง พร้อมติดตั้งชุดยาง Michelin Pilot Cup 2
ขณะที่การตกแต่งตัวรถรอบคันด้วยชิ้นส่วนเสริมแรงกด 540+ กิโลกรัม ที่ความเร็วสูงสุด แบบเดียวกับ ZR1 ทั้งคาร์นาร์ดข้างกันชนหน้า, ลิปสปอยเลอร์หน้า, และสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ จะถูกใส่มาให้เลือกเหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพร้อมทัวร์หรือรุ่นพร้อมซิ่ง
ด้านราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลออกมา เนื่องจากตัวรถจะพร้อมวางจำหน่ายจริงภายในปี 2026 แต่สื่อในสหรัฐอเมริกา คาดว่าจะอยู่ในช่วงราวๆ 250,000 – 300,000 ดอลล่าร์ หรือราวๆ 8.2-9.8 ล้านบาท ซึ่งอาจจะดูสูงไปบ้าง แต่ก็ยังถือว่าถูกกว่ารถซุปเปอร์คาร์สเป็คพร้อมซิ่งของแบรนด์คู่แข่งอย่าง Ford Mustang GTD ที่สนนราคาวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา 318,760 ดอลล่าร์ หรือราวๆ 10.4 ล้าน บาท อยู่ดี