นอกจาก MG IM6 ที่เปิดตัวในตลาดโลกแล้วทาง MG ยังเตรียมที่เผยอีวีหรูรุ่นที่ 2 ของค่ายในเครือ IM Motors อย่าง MG IM5

MG IM5 หรือ IM L6 นำพื้นฐานของ MG IM6 หรือ IM LS6 มาปรับใหม่ ให้กลายร่างเป็นสปอร์ตซีดาน แตกต่างตั้งแต่กระจังหน้าทรงทึบดีไซน์ใหม่ออกแบบคิ้วชายล่างต่อเนื่องชิ้นเดียวพกไฟหน้า LED และไฟ DRL แบบ LED รูปตัวแอลมาแบบรมดำ
ด้านข้างมาพร้อมออปชันเด่นทั้งหลังคากระจกพาโนรามิก กระจกรถแบบไร้กรอบ Frameless ที่เปิดประตูแบบเก็บซ่อนในตัวรถ (Hidden Door Handle) ไฟท้าย LED รมดำดีไซน์รูปตัวเอยาวจากซ้ายไปขวารับกับฝาท้ายมีสปอยเลอร์ในตัวและ ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 20 นิ้ว
ภายในคล้าย MG IM6 ด้วยจอลอยตัวขนาดใหญ่แบบIntelligent Immersive Touch Screens 2 จอ ประกอบด้วย หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิทัลรวมกันขนาด 26.3 นิ้ว และหน้าจอกลางแบบสัมผัสขนาด 10.5 นิ้ว สำหรับควบคุมส่วนต่าง ๆ ภายในรถ เชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Android แบบไร้สาย ระบบสั่งการอัจฉริยะ IM OS เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ
คอนโซลหน้าเน้นความเรียบหรูด้วยวัสดุ Soft Touch พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน รองรับการชาร์จ แบบไร้สายกำลังไฟสูงสุด 50 วัตต์ (Wireless Charger) ระบบลำโพงรอบทิศทาง 20 จุด ไฟ Ambient Light ที่สามารถเปลี่ยนได้ 256 เฉดสี กระจกไฟฟ้า One Touch Up-Down กระจกมองหลังแบบ Streaming Media Rearview Mirror ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกโซนอิสระ พร้อมระบบกรองอากาศ PM 2.5 ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
เบาะนั่ง POPO Sofa ทรงขนมปัง เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อม Lumbar Support และเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง โดยเบาะคู่หน้าเป็นแบบระบายความร้อน พร้อมระบบนวดสำหรับผู้ขับขี่เบาะนั่งด้านหลังพนักพิงพับได้ 60:40
ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้ามาความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 100 kWh เริ่มที่รุ่น RWD มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลัง กำลังสูงสุด 408 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0–100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 4.6 วินาที สามารถวิ่งได้ระยะทาง 755 กิโลเมตร (NEDC) ความเร็วสูงสุด 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ส่วนรุ่น AWD เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อน 4 ล้อให้พละกำลังสูงสุด 572 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 802 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0–100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 2.74 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถวิ่งได้ระยะทาง 625 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (NEDC)
ชาร์จแบบเร็ว Quick Charge ชาร์จไฟฟ้าจาก 30-80% ใช้เวลาน้อยกว่า 15.2 นาที รองรับการชาร์จแบบกระแสตรงสูงสุด 396 kW มีโหมดการขับขี่ 6 โหมด ได้แก่ Eco/Comfort/Sport/Snow/Custom และ Super Eco พร้อม ระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) 2 ระดับ และ Vehicle to Load (V2L) เปลี่ยนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้สามารถเป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าสูงสุด 6.6 kW
ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ Double Wishbone และด้านหลังแบบอิสระ Multi-Link มีระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อและพร้อมช่วงล่างถุงลมอัตโนมัติ (Intelligent Air Suspension) สามารถปรับสูง-ต่ำได้ 3 ระดับ พร้อมปรับการทำงานอัตโนมัติตามรูปแบบการขับขี่ โดยเตรียมขายออสเตรเลียภายในปี 2025 คาดก่อนช่วงสิ้นปีนี้และเมืองไทยมาแน่นอน