Honda Goldwing นับเป็นหนึ่งในรถมอเตอร์ไซค์ที่สร้างชื่อให้กับแบรนด์ Honda ในฐานะรถทัวร์ริ่งที่มอบความสะดวกสบายในการเดินทางขั้นสุดของโลก 2 ล้อ มานานกว่า 50 ปี และในที่สุด 2025 Honda Goldwing GL1800 50th Anniversary ตัวรถโมเดลที่เกิดมาเพื่อฉลองวาระพิเศษนี้ก็ได้พร้อมวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว ด้วยราคา 1,395,000 บาท

2025 Honda Goldwing GL1800 50th Anniversary มาพร้อมกับความพิเศษที่แตกต่างจาก Goldwing ทั่วไปในเรื่องของชุดสีและการตกแต่งพิเศษ โดยคราวนี้จะมี 2 ตัวเลือกเฉดสี ได้แก่ สีแดง Bordeaux Red Metallic และ สีทอง Eternal Gold / Mahogany Brown Metallic

ซึ่งเฉดสีหลัง ก็คือสีเดียวกันกับรถคันโชว์ในงาน Motor Expo 2025 ที่จะโดดเด่นด้วยแฟริ่งสีทองทั้งคัน ตัดโทนด้วยสีน้ำตาลไม้มะฮอกกานี ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจาก Goldwing GL1000 รุ่นพี่ยุคแรกๆ และยังมีการเพิ่มตราสัญลักษณ์ 50th Anniversary สีทองบริเวณคอนโซลหน้าและกุญแจรีโมทอัจฉริยะเพื่อบ่งบอกถึงความพิเศษของตัวรถ ซึ่งก็จะมีให้เห็นบนตัวรถสีแดงเช่นกัน

นอกนั้นด้วยความเป็นรถโมเดลปี 2025 ตัวรถ Goldwing รุ่นปีล่าสุด จึงมาพร้อมกับการอัพเกรดชุดเครื่องเสียงใหม่ ที่ทำให้สุ้มเสียงจากลำโพงมีความคมชัดมากขึ้นขณะขับขี่ใช้งานรถที่ความเร็วสูง และยังมีการอัพเกรดความสามารถของหน้าจอแสดงผล TFT ขนาด 7.0 นิ้วใหม่ ให้สามารถเชื่อมต่อกับทั้งระบบ Android Auto และ Apple CarPlay ได้แบบไร้สาย และอัพเดทอินเตอร์เฟซหน้าจอใหม่ ให้ผู้ขี่สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น, อัพเกรดให้รถสามารถเชื่อมต่อกับระบบอินเตอร์คอมของผู้ขี่และผู้โดยสารได้เข้าไป

นอกนั้นยังคงจัดเต็มลูกเล่นความสะดวกสบาย ทั้งชิลด์หน้าปรับไฟฟ้า, แฮนด์พร้อมระบบทำความร้อน เช่นเดียวกับชุดเบาะนั่งที่หุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ Ultra Sued, กล่องเก็บของด้านข้างและด้านหลัง ซึ่งทำหน้าที่เป็นพนักหลังให้ผู้ซ้อนด้วยในตัว และยังมีความจุรวมกันมากถึง 161 ลิตร, ไฟตัดหมอกด้านล่างตัวรถพร้อมเลนส์กระจายแสง 5 ชั้นอย่างดี เพื่อความสว่างและสดไสของแสงที่ถูกฉายออกไปบนเส้นทางเบื้องหน้า

และยังมีระบบถุงลมนิรภัยเมื่อเกิดการชนทางด้านหน้าสำหรับผู้ขี่, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, ระบบกุญแจคีย์เลส, ระบบกันสะบัดไฟฟ้า, ระบบช่วงล่างปรับค่าความหนืดและความแข็งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าตามโหมดการขับขี่ที่เลือกใช้ หรือสภาพผิวถนน และอื่นๆอีกมากมาย

ด้านรายละเอียดทางเทคนิคของตัวรถ ยังคงโดดเด่นด้วยโครงสร้างอลูมิเนียม ทวินบีม หล่อขึ้นรูปอย่างดี และมีช่วงล่างด้านหน้าแบบปีกนกคู่ เพื่อความสามารถในการซับแรงสูงสุด โดยไม่ทำให้ระยะฐานล้อหรือองศาแผงคอผิดเพี้ยนขณะใช้งาน หรือผิดเพี้ยนน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับระบบกันสะเทือนแบบทั่วๆไป และใช้ชุดระบบกันสะเทือนด้านหลังเป็นโช้คเดี่ยวทำงานร่วมกับระบบกระเดื่องทดแรงและชุดสวิงอาร์มแขนเดี่ยว

และด้วยน้ำหนักตัวรถที่มากถึง 393 กิโลกรัม ตัวรถจึงมาพร้อมกับระบบเบรกด้านหน้าแบบดิสก์คู่ขนาด 320 มิลลิเมตร หนา 4.5 มิลลิเมตร ซึ่งทำงานร่วมกับคาลิปเปอร์เบรกแบบเรเดียลเมาท์ที่มีลูกสูบถึง 6 พอท และด้านหลังก็ยังใช้จานเบรกเดี่ยวขนาด 316 มิลลิเมตร หนา 11 มิลลิเมตร ซึ่งทำงานร่วมกับคาลิปเปอร์เบรก 3 พอท

ขุมกำลังตัวรถเอง ก็เป็นอีกจุดขายเช่นกัน ด้วยความเป็นเครื่องยนต์ 6 สูบนอน ขนาด 1,833cc 24 วาล์ว SOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้กำลังสูงสุด 126 แรงม้า ในรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำเพียง 5,500 รอบ/นาที และมีแรงบิดสูงสุด 170 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่องยนต์ต่ำเพียง 4,500 รอบ/นาที เช่นกัน

ก่อนส่งกำลังไปยังชุดเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ DCT 7 สปีด ซึ่งทั้งเครื่องยนต์ และชุดเกียร์ก็ได้ปรับจูนการทำงานให้ทั้งหมด เพื่อให้มันสามารถมอบอัตราเร่งที่ต่อเนื่องและมีความสั่นสะเทือนขณะใช้งานต่ำลงจากตัวรถโฉมปีก่อน

และชุดเกียร์ที่ว่านี้ ยังมีระบบ Walking Mode ซึ่งช่วยให้รถสามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำได้ราวๆ 1.8 กิโลเมตร/ชั่วโมง และถอยหลังได้อีก 1.2 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อความสะดวกสบายในการเข้า-ออกช่องจอด และยังมีโหมดการขับขี่ให้เลือกปรับอีก 4 รูปแบบด้วยกันได้แก่ โหมด Tour, Sport, Econ, และ Rain จากการทำงานร่วมกับระบบคันเร่งไฟฟ้า Throttle-By-Wire ที่ถูกปรับเซ็ทการทำงานมาใหม่เช่นกัน