อาจด้วยความชอบรถยนต์นั่งแต่ขนของได้เยอะ ทำให้แม้ KIA K4 จะเป็นรถซีดานที่มีหลังคาด้านท้ายสูงโปร่งอยู่แล้ว ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ทำให้ทางค่ายเลือกที่จะเปิดตัวไลน์อัพใหม่รุ่น 5DR ขึ้นมาในฐานะรถแฮชท์แบ็คเต็มตัวของตระกูล

2026 KIA K4 5DR มาพร้อมกับงานออกแบบหน้ารถที่ไม่ได้ต่างจากรุ่นซีดานมากนัก เว้นแค่เพียงช่องดักลมหลอกคู่ล่างของกันชนหน้า ที่จะถูกตัดครีบรีดอากาศออกไป เพื่อให้ช่องดังกล่าวดูสะอาดตามากขึ้น นอกนั้นจะเป็นสัดส่วนตัวรถด้านข้างที่ยาวขึ้น กับหลังคาที่ตัดแนวค่อนข้างตรงด้านบนก่อนจะไปจรดลงท้ายรถแบบลาดเอียงเล็กน้อย และใส่สปอยเลอร์หลังเข้ามาอีกนิดเพื่อความโฉบเฉี่ยวที่มากกว่า

แน่นอน ด้วยความเป็นรถแฮชท์แบ็ค ดังนั้นมันจึงได้พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังที่เยอะขึ้นด้วย โดยตอนนี้จะมีขนาดความจุสูงสุดที่ 438 ลิตร ในรุ่นเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปล้วน หรือหากลูกค้าเลือกใช้รถรุ่นที่มีการเสริมกำลังด้วยระบบ Mild Hybrid ความจุในให้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ก็จะลดลงเหลือ 328 ลิตร ซึ่งก็ยังถือว่าเยอะกว่ารุ่นซีดานพอสมควรอยู่ดี

นอกนั้นในด้านงานออกแบบห้องโดยสารด้านหน้า จะไม่แตกต่างไปจาก K4 Sedan หรือพี่ๆน้องๆร่วมแบรนด์ ทั้งพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน, หน้าจอแสดงผลข้อมูลตัวรถและระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาดจอละ 12.3 นิ้ว ถูกคั่นกลางด้วยจอแสดงผลข้อมูลระบบปรับอากาศขนาด 5.3 นิ้ว, ลูกเล่นระบบ Apple CarPlay ไร้สาย, ระบบ Android Auto, ระบบคำสั่งเสียงพร้อมโหมด AI, ระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย, และชุดเครื่องเสียงจาก Harman Kardon

ขุมกำลังของตัวรถ จะมีทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตร เทอร์โบ กำลังสูงสุด 115 แรงม้า PS ซึ่งหากแรงน้อยไป ก็ยังมีรุ่นเสริมกำลังด้วยระบบ Mild Hybrid ให้เลือก และรุ่นเบนซิน 2.0 ลิตร ไร้ระบบอัดอากาศ กำลังสูงสุด 150 แรงม้า PS

ส่วนในรุ่นตัวแรงสุดอย่าง รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร เทอร์โบ ก็จะมีให้เลือกทั้งรุ่น 150 แรงม้า PS และตามด้วย รุ่น 180 แรงม้า PS สำหรับตลาดยุโรป กับรุ่น 193 แรงม้า PS สำหรับตลาดในสหรัฐอเมริกา

โดยทั้งหมดจะทำงานร่วมกับระบบเกียร์ CVT เว้นแต่รุ่น MHEV ที่จะมีทางเลือกเกียร์ DCT 7 สปีด ให้เลือกด้วย หรือหากชอบต่อเกียร์เอง คุมคลัทช์เอง ลุกค้าชาวยุโรปก็มีรุ่นที่ใช้ชุดเกียร์ธรรมดา 6 สปีดให้เลือกด้วย

ด้านราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของตัวรถ ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลออกมาใดๆทั้งสิ้น แต่ทางสื่อในสำหรัฐอเมริกา และยุโรปต่างมองในมุมเดียวกันว่ารถน่าจะถูกตั้งราคาวางจำหน่ายไว้ในช่วงที่ต่ำกว่ารถ Volkswagen Golf ซึ่งเป็นคู่แข่งสายตรงที่มีราคาเริ่มต้น 28,150 ปอนด์ หรือราวๆ 1.2 ล้านบาท ในสหราชอาณาจักร

ส่วนใครที่รอคอยให้รถรุ่นนี้วางจำหน่ายในประเทศไทย ก็อาจจะต้องรอลุ้นกันไปยาวๆเพราะทาง KIA ประเทศไทย อาจกำลังมีแผนที่จะขยายไลน์อัพรถยนต์ของพวกเขาในไทยอยู่ แต่จะรวมถึงรถยนต์นั่งอย่างตระกูล K4 และ K4 HDR หรือไม่ ยังไม่มีใครทราบได้ทั้งสิ้นในตอนนี้