นับตั้งแต่ที่ All-New Yamaha Fazzio Hybrid Connected ได้ถูกเผยโฉมออกมา มันก็สามารถเรียกความสนใจจากชาวไทยไปมากพอสมควร และในวันนี้ ที่งาน Ridebuster ได้รับโอกาสในการทดสอบมันกันแล้ว กับ “แฟชันสกู๊ตเตอร์ เจนใหม่ สไตล์เนี๊ยะ !”

ALL NEW YAMAHA FAZZIO HYBRID CONNECTED มาพร้อมกับคอนเซ็ปท์งานออกแบบที่เน้นตอบโจทย์การใช้งานผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ ที่มีช่วงวัย 18-24 ปี หรือเหล่ามนุษย์ Gen Z ที่อยู่ในช่วง มหาวิทยาลัย ไปจนถึงวัยเริ่มทำงานยุคปัจจุบัน

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก ที่หากคุณลองเทียบมันกับรุ่นพี่แฟชันสกู๊ตเตอร์คล้ายกัน อย่าง Fino ที่ทาง Yamaha ใช้เป็นตัวเปรียบเทียบแล้ว รุ่นน้องอย่าง Fazzio ก็จะมาพร้อมกับหน้าตาที่ดูร่วมสมัย แต่ก็ยังล้ำสมัยมากกว่า ด้วยไฟหน้าและไฟหรี่ LED พร้อมไฟท้าย สไตล์ใหม่ รูปทรงเก๋ ดีไซน์แคปซูล เสริมความเป็นเอกลักษณ์ด้วยโลโก้ประจำรุ่นแบบ “F-Capsule”

ขณะที่เส้นสายต่างๆของชิ้นงานเปลือกนอก ก็เน้นความเรียบง่าย และลงตัว หรือ มินิมอล ตามเทรนด์ของวัยรุ่นยุคนี้ แต่เพื่อไม่ให้มันดูเป็นที่มีดีเพียงแค่หน้าตา ทาง Yamaha จึงใส่ฟังก์ชันการใช้งานต่างๆเข้ามาให้มันอีกมากมาย ทั้ง

  • SMART KEY SYSTEM ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ สามารถเปิด-ปิด สตาร์ทหรือดับเครื่องยนต์ / ปลดล็อกคอ / ปลดล็อกเบาะ พร้อมสัญญาณ ANSWER BACK (ออพชันเฉพาะตัวรถรุ่น Keyless)
  • เก๊ะเก็บโทรศัพท์มือถือ หรือกระเป๋าสตางค์ พร้อมฝาปิดแบบมีมือเปิด
  • MOBILE CHARGING SOCKET ช่องต่อไฟ 12 โวลท์ สำหรับชาร์จแบตเตอรี่มือถือ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
  • ช่องใส่ของด้านหน้า สามารถใส่ขวดน้ำดื่มขนาด 600 มิลลิเมตรได้
  • DOUBLE HOOK CARABINER ฮุคสำหรับแขวนของ 2 จุด รองรับน้ำหนัก จุดละ 1 กิโลกรัม
  • พื้นที่วางเท้าด้านหน้ากว้างพิเศษ
  • F-BOX หรือ กล่องเก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่ความจุ 17.8 ลิตร
  • ACCESSORIES PORT พอร์ตติดตั้งอุปกรณ์เสริมตกแต่งกราฟิกเพิ่มเติม หรือเสริมตะแกรงข้างเพื่อการใช้งาน

นอกจากนี้ อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของ Fazzio ก็คือ มิเตอร์แบบดิจิทัล สไตล์ใหม่ ที่ใช้ดีไซน์แคปซูลแบบเดียวกับ ไฟหน้า ไฟท้าย และไฟเลี้ยว ซึ่งมันก็สามารถบอกข้อมูลสถานะการทำงานของตัวรถได้ครบทุกฟังก์ชัน เช่น ความเร็ว / นาฬิกา / อัตราการประหยัดน้ำมัน / ระยะทาง และยังสามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านระบบ Y-CONNECT เพื่อแสดงสายโทรเข้าและแจ้งเตือนข้อความ บนหน้าจอ

ส่วนตัวโทรศัพท์มือถือที่ทำการเชื่อมต่อกับตัวรถ ผ่านระบบ Y-CONNECT เอง ก็สามารถกดดูข้อมูลสำๆคัญของตัวรถทั้ง 9 ฟังก์ชัน ได้ทางแอพพลิเคชัน Y-Connect Application ซึ่งจะประกอบไปด้วย
 
1.METER INDICATOR – แจ้งเตือนการติดต่อเข้ามือถือบนจอหน้าปัดรถ
2.MAINTENANCE RECOMMEND – แจ้งเตือนการบำรุงรักษา
3.MALFUNCTION NOTIFICATION – แจ้งเตือนเครื่องยนต์เกิดปัญหา
4.FUEL CONSUMPTION – แสดงข้อมูลการอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
5.REVS DASHBOARD – แสดงมาตรวัดสมรรถนะขณะขับขี่
6.PARKING LOCATION – แสดงตำแหน่งจอดรถล่าสุด
7.RANKING – แสดงอันดับในการขับขี่
8.RIDING LOG – บันทึกประวัติการขับขี่ และสามารถแชร์ข้อมูลลงบนโลกโซเชียลพร้อมกับรูปจุดหมายปลายทาง หรือระหว่างทางของผู้ใช้ได้*
9.CONTACT FORM – ช่องทางการติดต่อยามาฮ่า

*เป็นฟังก์ชันใหม่ที่พึ่งอัพเดทได้ไม่นาน และพึ่งถูกนำมาใช้ในรถ Yamaha Fazzio อย่างเป็นทางการรุ่นแรก แต่จะมีการอัพเดทให้กับผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์ที่มีระบบ Y-Connect รุ่นอื่นๆเพิ่มเติมอีกหลังจากนี้

ด้านตัวเลขมิติตัวรถต่างๆของ Fazzio Hybrid ก็ต้องบอกว่าเนื่องจากคอนเซปท์งานออกแบบของมัน คือการเป็นรถที่ต้องตอบโจทย์ผู้ใช้งานรถในเมืองเป็นหลัก ดังนั้นมันจึงถูกสร้างให้มีขนาดเล็กกระทัดรัดเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับรถสกู๊ตเตอร์คันอื่นๆในระดับเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน นั่นคือ

  • ความยาว : 1,820 มิลลิเมตร
  • ความกว้าง : 685 มิลลิเมตร
  • ความสูง : 1,125 มิลลิเมตร
  • องศาแผงคอ/ระยะเทรล : 27 องศา / 85 มิลลิเมตร
  • ระยะฐานล้อ : 1,280 มิลลิเมตร
  • ความสูงเบาะ : 750 มิลลิเมตร
  • ความสูงใต้ท้องรถ : 135 มิลลิเมตร
  • รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด : 1,900 มิลลิเมตร
  • ถังน้ำมันความจุ : 5.1 ลิตร
  • น้ำหนักตัวรถ : 96 กิโลกรัม

สัมผัสในส่วนท่านั่ง

อย่างที่เราได้เกริ่นเอาไว้ในข้างต้น ว่าเจ้า Fazzio นั้น ถูกออกแบบให้มีขนาดที่ค่อนข้างเล็กกระทัดรัด ดังนั้นด้วยเบาะของมันที่มีความสูงจากพื้นเพียงแค่ 750 มิลลิเมตร จึงทำให้ผู้ทดสอบที่สูงไม่ถึง 170 เซนติเมตร ก็ยังสามารถนั่งแล้วใช้ทั้งสองฝ่าเท้าสัมผัสพื้นตอนจอดอย่างเต็มฝ่าได้สบายๆ แถมยังมีระยะให้ผ่อนคลาย(งอขา)หน่อยๆอีกด้วย ส่วนหนึ่งก็เพราะทรงเบาะช่วงวางขาไม่ได้กว้างเท่าไหร่นัก จนต้องถ่างขาออกมากเกินไป เรียกว่าหายห่วงได้เลยสักหรับผู้หญิงตัวเล็กๆทั้งหลาย

และถึงแม้เราจะบอกว่ามันเป็นรถที่มีขนาดเล็ก รวมถึงทรงเบาะช่วงหว่างขาไม่ได้กว้างมากเท่าไหร่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตัวทรงเบาะหลังแนวหว่างขาไป จะมีความกว้างขึ้นมาก และสามารถรับกับบั้นท้ายของผู้ทดสอบที่มีหุ่นหมีได้อย่างพอดิบพอดี เนื่องจากตัวเบาะมีการแบ่งระดับระหว่างช่วงผู้ขี่และผู้ซ้อนเอาไว้อย่างชัดเจน โดยที่ยังคงมีระยะให้ขยับตัวถอยเข้า-ออกไปมาได้อีกเล็กน้อยด้วย

ด้านท่าทางการนั่งเมื่อต้องขี่รถจริงๆ ตัวผู้ทดสอบพบว่าฟลอบอร์ด หรือที่วางเท้าของเจ้าสกู๊ตเตอร์คันนี้ มีความกว้างทั้งในแนวขวางที่กำลังดี และในแนวยาวค่อนข้างเหลือเฟือ เมื่อเทียบกับสกู๊ตเตอร์ทรงเดียวกัน ดังนั้นนอกจากมันจะทำให้ผู้ขี่ไม่ได้รู้สึกอึดอัดในการใช้งานแล้ว ยังสามารถนำถุงข้าวถุงแกง กระเป๋า หรือ ถาดเครื่องดื่มกระป๋อง (….อะไรก็แล้วแต่) มาวางไว้ได้สบายๆ

ไม่เพียงเท่านั้นในเรื่ององศาการงอของท่อนขายามนั่งขี่ ก็เรียกได้ว่า ทั้งต้นขา และน่อง ทำมุมกันในระดับเกือบตั้งฉาก ดังนั้นจึงหมดกังวลได้เลย เรื่องความสบาย เพราะมันมีความเป็นธรรมชาติสูงมาก เช่นเดียวกับความกว้างของแฮนด์ที่ไม่ได้แคบมากจนเกินไป อาจจะดูเตี้ยนิดหน่อย แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่ต้องโน้มตัวเลยสักนิดอยู่ดี (แค่รู้สึกต้องหย่อนแขนลงนิดหน่อยเท่านั้น)

สิ่งที่ติดใจส่วนตัวสำหรับผู้เขียน ก็คงมีแค่เพียงเรื่องของตัวครอบแฮนด์ด้านบน ที่ดูยื่นสูงมากไปหน่อย จนรู้สึกขวางสายตานิดๆตอนใช้งาน แต่ทั้งนี้ก็พอเข้าใจได้อยู่ว่ามันทำให้เตี้ยกว่านี้ก็ไม่ได้ เพราะตัวมาตรดวัดทรงแคปซูลของมันที่ยืดยาวจากบนลงล่างนั้น ไม่สามารถทำให้เล็กกว่านี้ได้แล้ว

ช่วงล่าง

  • ระบบกันสะเทือนด้านหน้า : โช้กตะเกียบคู่หัวตั้ง ช่วงยุบ 90 มิลลิเมตร
  • ระบบกันสะเทือนด้านหลัง : โช้กเดี่ยว ยูนิตสวิง ช่วงยุบ 88 มิลลิเมตร
  • ล้อหน้า : อัลลอยด์ รัดด้วยยางขนาด 110/70-12 47L
  • ล้อหลัง : อัลลอยด์ รัดด้วยยางขนาด 110/70-12 47

สัมผัสในส่วนการทำงานของระบบกันสะเทือน และการบังคับเลี้ยว

ด้วยคอนเซปท์เดิม คือตัวรถรุ่นนี้ ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเน้นการใช้งานในเมืองที่ไม่ได้มีความเร็วสูงมากนัก หรือสำหรับนักศึกษาเอาไว้ขี่ไปเรียนในมหาวิทยาลัย ไม่ก็เอาไว้ขี่ไปซื้อของกินหลัง ม. แค่นั้น จึงทำให้การเซ็ทติ้งช่วงล่างของรถสกู๊ตเตอร์คันนี้ จะเน้นให้มันสามารถทำงานได้ดีในช่วงความเร็วราวๆ 50-70 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทั้งในเรื่องของการซับแรงที่อาจจะไม่นุ่มนวลมากนัก แต่ก็มีการกระเทือนแค่พอให้รู้ว่าตอนนี้เรากำลังขี่ผ่านผิวถนนแบบใดอยู่

ที่โดดเด่นยิ่งกว่าคือการบังคับเลี้ยว ที่มีความกระฉับกระเฉงสูงมาก การเปลี่ยนเลนไปมาสามารถทำได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว เบามือ และส่วนตัวผู้ทดสอบใช้วิธีสะบัดตัวเพียงเบาๆรถก็พร้อมจะเลี้ยวตามใจสั่งลงไปแล้ว ซึ่งส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณทั้งน้ำหนักตัวรถที่เบาเพียง 96 กิโลกรัม กับฐานล้อที่ค่อนข้างสั้นของมัน

อย่างไรก็ดี หากคุณเป็นคนที่ชอบขี่รถเร็ว แต่ผู้ปกครองหรือแฟนอยากให้ซื้อรถคันนี้ คุณอาจจะต้องคิดสักหน่อยว่า การบังคับเลี้ยวของตัวรถที่ค่อนข้างคล่องตัวในช่วงความเร็วต่ำนั้น อาจจะทำให้คุณรู้สึกว่ามันไวเกินไปเมื่อต้องขี่ด้วยความเร็วหลัก 80 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป (ถ้าวิ่งตรงๆมันก็ยังนิ่งอยู่ แต่ถ้าต้องเบี่ยงเลนฉุกเฉินขึ้นมา คุณอาจจะรู้สึกว่ามันเริ่มเลี้ยวไวไปนิสสส) ซึ่งอันที่จริงเรื่องนี้ก็ยังพอแก้ได้ด้วยการเปลี่ยนไปใช้ยางที่มีแก้มเตี้ยกว่านี้ เพื่อลดความกลมของหน้ายางลง และยังช่วยเพิ่มความมั่นคงในการทรงตัว

และเช่นเดียวกันในฝั่งของตัวโช้กเอง หากขี่ด้วยความเร็วในระดับ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป แล้วบนถนนมีช่วงที่เป็นลอนคลื่น หรือหลุมร่องขึ้นมา อาการโช้กย้วยขึ้นลงจะเริ่มส่งผลมากขึ้นเรื่อยๆตามความเร็วที่ใช้

ระบบเบรก

  • ด้านหน้า : ดิสก์เดี่ยว ทำงานร่วมปั๊มโฟลทติ้งเมาท์ 1 พอร์ท
  • ด้านหลัง : ดรัมเบรก
  • ระบบช่วยเบรก : UBS หรือกระจายแรงเบรก ไปยังล้อหน้า 30% เมื่อมีการกำเบรกหลังเพียงอย่างเดียว (ส่วนการกำเบรกหน้าเพียงอย่างเดียว เบรกหลังจะไม่ทำงานเองแต่อย่างใด)

สัมผัสในส่วนการทำงานของระบบเบรก

ในจุดนี้ เราคงไม่ต้องอธิบายอะไรมากนัก นอกไปเสียจากว่า ด้วยน้ำหนักตัวที่ค่อนข้างเบา บวกกับสมรรถนะของเบรกเดิมๆ จัดว่าสบายใจได้เลยสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ทั้งในเรื่องของการไล่แรงกดบนก้านเบรกที่ค่อนข้างกระชับ โดยความไวในการจับจานเบรกก็ไม่ได้มากไป แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้คุณหยุดชะลอรถได้ทันท่วงที (เว้นเสียแต่คุณจะประมาทเลินเล่อเอง)

สิ่งที่ต้องระวังก็มีเนื่องจากรถยังไม่มีระบบ ABS มาให้ ดังนั้นในบางสถานการณ์ เช่นตอนที่ถนนลื่นๆ หรือตอนที่ต้องเบรกหนักๆ จนแรงเหวี่ยงทั้งหมดไปกดที่ล้อหน้า แล้วล้อหลังแทบจะลอยจากพื้น มันก็มีโอกาสที่จะเกิดอาการล้อล็อคได้นั่นเอง

เครื่องยนต์

  • รูปแบบ : 4 จังหวะ สูบเดี่ยว SOHC 2 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยอากาศ
  • ขนาดกระบอกสูบ x ช่วงชัก : 52.4 x 57.9 มิลลิเมตร
  • ความจุ : 125cc
  • อัตราส่วนกำลังอัด : 11.0 : 1
  • ชนิดหัวเทียน : NGK CR6HSA
  • ระบบจ่ายน้ำมัน : หัวฉีด
  • น้ำมันเชื้อเพลิงที่รองรับ : เบนซิน, แก๊สโซฮอล์ E10, แก๊สโซฮอล์ E20
  • ความจุน้ำมันเครื่อง : 0.8 ลิตร
  • ระบบคลัทช์ : คลัทช์แห้ง ทำงานแบบแรงเหวี่ยงหนีศูนย์
  • ระบบส่งกำลัง : สายพาน CVT
  • อัตราทดเกียร์ : 2.589 – 0.843 : 1
  • อัตราทดเฟืองท้าย : 7.773 (50/17 x 37/14)
  • คุณสมบัติพิเศษ : ใช้กระบอกสูบวัสดุไดอะซิล, ลูกสูบฟอร์จ, และมีระบบ Smart Generator Motor หรือ SMG ช่วงส่งกำลังให้กับเครื่องยนต์ตอนออกตัวได้มากสุด 7%

สัมผัสในส่วนการทำงานของเครื่องยนต์

อย่างที่ใครหลายๆคนพอจะทราบกัน ว่าเครื่องยนต์ที่อยู่ในเจ้า Fazzio นั้น แท้จริงแล้ว เป็นเครื่องยนต์บล็อคที่ต่อยอดมาจาก Grand Filano Hybird แต่ทาง Yamaha ระบุว่า พวกเขาได้ทำการปรับจูนมันใหม่เล็กน้อย เพื่อให้เครื่องยนต์สามารถทำงานได้ตรงตามโจทย์การใช้งานของตัวรถมากยิ่งขึ้น

เมื่อประกอบกับอัตราทดเฟืองท้ายใหม่ที่จัดจ้านกว่าเดิม กับน้ำหนักตัวรถที่เบากว่าอีกนิดหน่อย จึงทำให้การเรียกกอัตราเร่งของเครื่องยนต์เมื่อมีกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยผลักดันอีก 7% จากหยุดนิ่งจนถึงช่วงความเร็วราวๆ 25 กิโลเมตร/ชั่วโมง มีความฉับไวขึ้นจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด หรืออันที่จริงแม้แต่การเรียกอัตราเร่งไปจนถึงช่วงความเร็วราวๆ 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ยังรู้สึกว่ามีความติดมือมากกว่ารุ่นพี่ของมันเช่นกัน

ส่วนความเร็วสูงสุดที่ได้จากการทดสอบแบบระยะสั้นในครั้งนี้ ก็มีตัวเลขอยู่ที่ราวๆ 96 กิโลเมตร/ชั่วโมง เท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าพอเข้าใจได้ เพราะอย่างที่เราได้เกริ่นเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า มันคือรถมอเตอร์ไซค์ที่ออกแบบมาเพื่อตอยโจทย์การใช้งานในเมือง ขี่เล่นคล่องตัวไปตามการจราจร หรือบิดชิวๆไปทำกิจกรรมต่างๆในมหาวิทยาลัย หรือห้างสรรพสินค้า ไม่ก็ไปซื้อของที่ตลาดใกล้บ้านก็เท่านั้น

สิ่งที่เรายังไม่สามารถหาคำตอบให้ได้ในการรีวิวครั้งนี้ ก็คือเรื่องของอัตราสิ้นเปลือง เนื่องจากสถานที่และระยะเวลาในการทดสอบที่ไม่ได้เื่อให้เก็บค่าดังกล่าว ดังนั้นเราจึงต้องขอยกยอดเอาไว้ในการทดสอบครั้งหน้า ที่เราจะหาโอกาสเก็บค่าตรงนี้ให้ทุกท่านได้รับทราบข้อมูลเพิ่มเติมกันต่อไปในภายหลัง

สรุป การรีวิว ALL NEW YAMAHA FAZZIO HYBRID CONNECTED ในครั้งนี้ สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดของมันในมุมผู้เขียนและผู้ทดสอบ ก็คือการที่มันเป็นรถสกู๊ตเตอร์ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและยังตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างแท้จริง

ทั้งจากความคล่องตัวในการใช้งาน รวมถึงอรรถประโยชน์ที่หลากหลาย จากส่วนควบต่างๆที่ใส่เข้ามาเพื่อความอเนกประสงค์ แต่ยังคงลงตัวไปกับงานดีไซน์ของตัวรถเก๋ๆได้เป็นอย่างดี ในราคาที่จับต้องได้ง่าย ไม่ทำให้ผู้ซื้อต้องคิดเยอะในจุดนี้แต่อย่างใด

สำหรับ ALL NEW YAMAHA FAZZIO HYBRID CONNECTED ตอบสนองการใช้งานด้วย 2 รุ่นทางเลือกได้แก่

  • ALL NEW YAMAHA FAZZIO HYBRID CONNECTED รุ่น Smart key มาพร้อมสี เทา-ส้ม (Smoke Gray) และ ดำ-เขียว (Onyx Black) ราคา 56,600 บาท
  • ALL NEW YAMAHA FAZZIO HYBRID CONNECTED รุ่น Standard มีให้เลือกใช้ 4 สี ได้แก่ เทา (Olive Gray), แดง (Candy Red), เหลือง (Lemon Yellow) และ เขียว (Aqua Turquoise) ราคา 54,900 บาท

โดย Yamaha Fazzio Hybrid Connected มาพร้อมกับการรับประกันคุณภาพสินค้านาน 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร และหากผู้อ่านท่านใดสนใจ ก็สามารถชมรถตัวจริงที่ศูนย์บริการและตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ Yamaha ใกล้บ้านท่านได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ขอขอบคุณ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด
ที่ได้ให้เกียรติทีมงาน Ridebuster ให้เป็นส่วนหนึ่งในใการเข้าร่วมทดสอบรถ ALL NEW YAMAHA FAZZIO HYBRID CONNECTED ในครั้งนี้

ภาพ, ทดสอบ, เรียบเรียง : รณกฤต ลิมปิชาติ

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่