รถยุโรปก้านไฟเลี้ยวอยู่ซ้าย รถญี่ปุ่นก้านไฟเลี้ยวอยู่ขวา เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น เราเชื่อว่าหลายคนคงมีคำตอบในใจมาก่อนแล้ว แต่วันนี้เราจะชี้แจงเหตุจริงๆ ให้ทราบ

เราเชื่อว่าใครก็ตามที่ขับรถญี่ปุ่นเป็นเวลานานๆ แล้วอยู่มาวันหนึ่งมีเงินมากพอจะซื้อหารถยุโรป หลังจากที่ได้ขึ้นไปนั่งพวงมาลัยแล้วเริ่มขับรถออกไป จังหวะที่กำลังจะรอเลี้ยวออกจากโชว์รูม เชื่อเถอะคุณต้องเคยเปิดก้านไฟเลี้ยวผิดฝั่ง ดันไปโยกก้านใบปัดน้ำฝนแทน ทีนี้ หลายคนคิดว่าทำไมก้านไฟเลี้ยวของรถญี่ปุ่นกับรถยุโรปถึงอยู่คนละฝั่งกันล่ะ?

ผู้คนมักคิดว่าเพราะรถยุโรปส่วนใหญ่ขายในประเทศที่ขับรถพวงมาลัยซ้าย ก้านไฟเลี้ยวจึงอยู่ในฝั่งเดียวกันเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ขับ แต่ในทวีปยุโรปก็ยังมีรถพวงมาลัยขวาขับอยู่ในอังกฤษ รวมถึงประเทศในเครือจักรภพ ซึ่งแม้ว่าพวงมาลัยจะย้ายฝั่งไปแล้วแต่เจ้าก้านไฟเลี้ยวก็ยังอยู่ฝั่งซ้ายเช่นเดิม

 

นอกจากนี้ รถแบรนด์ญี่ปุ่นที่ขายในทวีปยุโรป สหรัฐอเมริกา หรือประเทศใดๆ บนโลกที่ขับรถพวงมาลัยซ้าย กลับกลายเป็นว่าก้านไฟเลี้ยวดันไปอยู่ฝั่งเดียวกันกับพวงมาลัยด้านซ้ายเสียอย่างนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

เหตุผลก็คือรถยนต์สัญชาติยุโรปใช้มาตรฐาน ISO (International Organization for Standardization) ในการผลิต ซึ่งกำหนดเอาไว้ชัดเจนว่าก้านไฟเลี้ยวต้องอยู่ด้านซ้าย ส่วนก้านใบปัดน้ำฝนต้องอยู่ด้านขวา ไม่ว่ารถคันนั้นจะมีพวงมาลัยอยู่ในตำแหน่งซ้ายหรือขวาก็ตาม ทีนี้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมรถยุโรปที่ขายในทุกประเทศจึงมีก้านไฟเลี้ยวอยู่ด้านซ้ายเสมอ

ผู้อ่านคงสงสัยว่าอ้าวแล้วรถญี่ปุ่นใช้มาตรฐานอะไรในการผลิตล่ะ คำตอบคือ JIS (Japanese Industrial Standards) ซึ่งกำหนดเอาไว้ว่าก้านไฟเลี้ยวต้องอยู่ด้านขวา เช่นเดียวกัน รถที่ผลิตขึ้นในญี่ปุ่น ไทย หรือประเทศไหนๆ ก็ตามที่ใช้รถพวงมาลัยขวา ล้วนอิงตามมาตรฐานจากแดนปลาดิบเสมอ

อย่างไรก็ตาม รถญี่ปุ่นที่ผลิตขึ้นนอกฐานการผลิตในญี่ปุ่น รวมถึงมีการส่งกลับมาขายยังประเทศญี่ปุ่นเอง (Toyota Supra) และมีการขายในประเทศที่ขับรถพวงมาลัยซ้าย จะมีการปรับมาตรฐานเป็น ISO ซึ่งทำให้ก้านไฟเลี้ยวไปอยู่ที่ด้านซ้าย

เราหวังว่าผู้อ่านคงได้ความรู้และเข้าใจถึงเหตุผลที่ก้านไฟเลี้ยวอยู่ในตำแหน่งซ้ายขวาต่างกัน ซึ่งบางคนมองว่ารถพวงมาลัยขวาก้านไฟเลี้ยวอยู่ขวาช่วยให้การขับรถเกียร์ธรรมดาสะดวกขึ้น และแน่นอนว่าก็ไม่ผิดแต่อย่างใด 

ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเราทีมงาน Ridebuster.com

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่