โลกวันนี้เปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะในวงการยานยนต์ที่มีทั้งรถไฟฟ้าไปจนถึงเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติิ ซึ่งนอกจากที่กล่าวมาบรรดาผู้ผลิตรถยังได้จับมือกับบริษัทที่เชี่ยวชาญหน่วยประมวลผลกราฟฟิค เพื่อสร้างต้นแบบคันใหม่ภายใต้รสนิยมสไตล์ดั้งเดิม เช่น VW Buzz รถตู้ต้นแบบทรงคลาสสิคที่มีระบบประมวลด้วยการอ่านใบหน้าผู้ขับขี่ และระบบนี้จะเข้ามาช่วยให้ชีวิตของคนง่ายขึ้นกว่าเดิม

 

Volkswagen Buzz

 

นับจากอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ผู้อยู่ภายใต้อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อนำเทคโนโลยีสุดไฮเทคสู่ท้องถนน โดยตอนนี้ Volkswagen ก้าวไปข้างหน้าอีกขั้นเพราะในงาน CES พวกเขาได้ประกาศความร่วมมือใหม่กับ Nvidia ว่าจะมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่มีระบบ I.D เหมือนที่อยู่ในรถต้นแบบ VW Buzz รถตู้ทรงคลาสสิค

ทางด้าน Nvidia ผู้ผลิตหน่วยประมวลกราฟฟิคชื่อดังที่เรารู้จักกันดีกล่าวถึงระบบใหม่ที่คิดค้นวา “ช่วงเวลาต่อจากนี้ไปรถทุกคันใหม่จะมี AI เป็นผู้ช่วยอยู่ข้างกายเสมอ โดยมันจะอ่านท่าทางและการจดจำใบหน้าของผู้ขับขี่เพื่อตอบสนองให้ตรงกับความต้องการ และในอนาคตอันใกล้เราจะร่วมกับ VW เพื่อสร้างรถรุ่นใหม่ที่ใช้งานได้สะดวกปลอดภัย แถมยังต้องมีความสนุกทุกครั้งเมื่อขับหรือโดยสารไปกับมัน”

 

 

เอาเข้าจริงแล้วระบบ Co-Pilot ที่ Nvidia กับ VW ร่วมมือกับพัฒนานี้ยังไม่เคยถูกใช้งานจริงบนท้องถนน แต่ถ้าทฤษฏีก็ได้เผยหลักการทำงานที่เราคิดว่าน่าสนใจไว้ว่า เจ้าระบบนี้จะติดตั้งท่าทาง ใบหน้า รวมถึงความต้องการของผู้ขับขี่ผ่านทางเซ็นเซอร์ที่มีอยู่รอบคันรวมถึงภายในห้องโดยสาร จากนั้นมันจะประมวลผลว่าผู้ขับขี่ต้องการอะไร เช่น ถ้าต้องการเข้ารถระบบก็จะปลดล็อคให้ทันที หรือถ้าขึ้นมานั่งบนเบาะมันก็จะปรับเบาะนั่งกับพวงมาลัยให้เหมาะสมกับสรีระโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ในอนาคตระบบยังเก็บข้อมูลของผู้ขับขี่ เพื่อนำไปปรับปรุงการทำงานให้ดียิ่งขึ้น

หลังจากเข้าใจแนวคิดของระบบขับขี่อัจฉริยะไปแล้ว เรามาดูเรื่องของตัวรถเพียวๆ กันบ้าง โดย Volkswagen Buzz มีข่าวคราวการพัฒนามายาวนาน ซึ่งสิ่งที่ทำให้ผู้คนสนใจมันก็มาจากรูปทรงรถตู้ที่คล้ายกับรถตู้แตงโมรุ่นยอดฮิตเมื่อกว่า 30-40 ปีก่อน แต่มันถูกสร้างขึ้นบนโครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า MEB platform อันเป็นพื้นฐานที่รถไฟฟ้ารุ่นใหม่ทุกคันภายใต้เครือ VW จะได้ใช้กันในปี 2022 เป็นต้นไป ยิ่งไปกว่าความล้ำหน้าด้านระบบช่วยเหลือ Buzz ยังมีมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวอยู่ด้านหน้าและหลัง ทำให้สร้างกำลังได้ถึง 369 แรงม้า ขณะเดียวกันแบตเตอรีก็ใช้แบบความจุสูงชนิดที่ว่าวิ่งได้ถึง 430 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง

 

 

ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com

 

 

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่