ท่ามกลางกระแสโลกในวันนี้ การวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อสังคมออนไลน์ ถือเป็นหัวใจสำคัญข้อหนึ่ง ที่ทำให้หลายคนต่างอาจจะต้องเปลี่ยนความคิดของตัวเองในการซื้อ ตามวลีว่า พวกมากลากไป

รถยนต์หลารุ่นในปัจจุบัน เริ่มมาพร้อมการนำเสนอสิ่งที่เรียกว่าตัวตนของผู้ใช้ รถเหล่านี้มีความพิเศษอยู่ในตัว ไม่ว่าจะสมรรถนะในการขับขี่ เทคโนโลยีชั้นสูง ไปจนถึงการออกแบบที่ดูน่าสนใจ หรือมีเพียงจำนวนจำกัดในการขาย ปัจจุบันรถเหล่านี้ เริ่มมีให้เห็นในประเทศไทย มันอาจไม่ใช่รถแบบที่คนทั่วไปมองหา และไม่ใช่รถที่คนทั่วไปซื้อ เจ้ายนตรกรรมเหล่านี้เป็น “รถเลือกนาย” เพราะไม่ใช่แค่คุณต้องมีเงินเท่านั้น แต่ต้องไม่แคร์สื่ออีกด้วย

ตั้งแต่ปีกลาย การแนะนำ   Ford ranger Raptor   รถกระบะสายลุยสุดโหดที่ได้ชื่อว่าแพงที่สุดในยุคนี้ จุดประเด็นกระแสสังคมในโลกออนไลน์ที่มีความสนใจ ต่อท่าทีฟอร์ดที่ดูจะมาเอาดีทางด้านกระบะแต่งพร้อมสรรพเสร็จจากโรงงานกับเขาบ้าง หลังจากเริ่มกลายมาเป็นขวัญใจคนไทย แทนบางแบรนด์ในตลาด

รถกระบะ   Ford Ranger Raptor   ดูผิวเผินก็อาจจะราวกับกระบะแต่งดุทั่วไปที่พอจะหาได้ในตลาด หากเรื่องกลับตาลปัตร เมื่อการเปิดตัวระบุถึงรายการของแต่งทางด้านสมรรถนะมาครบจัดเต็ม ไม่ว่าโช๊คอัพ   Fox  การพัฒนาเชิงโครงสร้า งหรือจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 210 แรงม้า พร้อมเกียร์ 10 สปีด ทั้งหมด ทำให้   Ford  ตัดสินใจเคาะราคารถคันนี้ 1.699 ล้านบาท เป็นค่าตัว

ทำเอาคอกระบะที่สนใจต่างเบือนหนีส่ายหน้าพร้อมกับคำสบประมาทมากมายว่า ไม่น่าจะขายได้ ด้วยราคาขายแสนแพง จนมากพอจะซื้อรถเก๋งหรูๆ ได้หนึ่งคัน

กระทั่งเมื่อทางฟอร์ดเริ่มขายส่งมอบรถให้กับลูกค้าในช่วงเดือนสิงหาคม ปี 2561 เป้นต้น ปรากฏว่ากระแสตอบรับรถดีเกินคาดจนถึงขนาดโรงงานผู้ผลิตยาง   BF Goodridge   ประกาศยอมเข้ามาตั้งโรงงานผลิตยางในประเทศไทย แถมยอมขายรถตลอด 3 เดือน นับตั้งแต่มีการส่งมอบ มียอดขายสูงถึงเกือบ 2,000 พัน คัน หรือคิดเป็นร้อยละ 5 ของ  Ford Ranger  ปกติ  นับเป็นบทพิสูจน์สำคัญของกระบะแกร่งสายลุย จากค่ายวงรีสีน้ำเงิน

จนทุกวันนี้ก็ยังมีคนชื่นชอบและสนใจจับจองเป็นเจ้าของอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุว่าไม่มีใครเป็นคู่แข่งในตลาดปัจจุบัน และยังไม่มีใครนำเสนอรถกระบะพร้อมลุยออกมา

เรื่องทำนองเดียวกันเกิดขึ้นกับ  Mazda  หลังจากส่ง   Mazda 2 Diesel  ออกมาตอบโจทย์ลูกค้า ซึ่งภายหลังจากมีการประกาศราคาขายอย่างเป็นทางการ คนสนใจจำนวนมาต่างกล่าวไปในทางเดียวกันว่า รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลมีราคาแพงเกินกว่าคำว่า “อีโค่คาร์” ด้วยราคา 6 แสนบาทกลางๆ จนปัจจุบันมีราคาขายเริ่มต้นที่ 680,000 บาท

Mazda2 (3)

ถึงจะมีกระแสสังคมบ้าง หากในท้ายที่สุดก็มีกลุ่มคนที่สนใจและยังอยากได้เครื่องยนต์ดีเซล ยินดีพร้อมจะจ่ายเงินซื้อจำนวนไม่น้อย ความต้องการมาสด้า 2 ดีเซลอาจไม่ได้สูงมากเท่ารุ่นเครื่องยนต์เบนซิน แต่ในกลุ่มผู้ใช้ส่วนใหญ่ที่ตัดสินใจซื้อรถคันนี้ต่างพอใจกับสมรรถนะและความประหยัดที่ได้จากรถอีโค่คาร์ดีเซลรุ่นแรกและรุ่นเดียวของเมืองไทย

กระแสการวิพากษ์วจารณ์ของสื่อสังคมออนไลน์ ต่อรถใหม่ยังคงดำเนินอยุ่อย่างต่อเนื่องเหตุการณ์ล่าสุด เกิดข้นกับแบรนด์   Suzuki   หลังจากประกาศยืนยันนำ Suzuki  Jimny  เข้ามาขายให้ชาวไทยได้จับจอง

ในระยะแรกมีกระแสพยายามปลุกปั่นว่า   Suzuki   อาจจะนำรถรุ่นนี้มาประกอบในไทยหรือที่โรงงานในอินโดนีเซีย ทั้งที่ปัจจุบันทางบริษัทไม่มีแผนในการประกอบรถขายในประเทศอื่นๆ นอกจากโรงงานในญี่ปุ่น เนื่องจากความเชื่อในเรื่องความต้องการของตลาดในภาพรวม

จนกระทั่งในท้ายที่สุด ทาง ซูซูกิ ออกมายอมรับว่า รถ  Suzuki  Jimny  ใหม่ จะนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นทั้งคัน ดับฝันคนอยากได้ ที่คาดหวังว่ารถรุ่นดังกล่าว จะเป็นรถเล็กพร้อมลุยราคาถูก เปลี่ยนกระแสจากชื่นชอบเริ่มกลายเป็นเสียดสี บริษัทรถยนต์ต้นสังกัด

หากท่ามกลางกระแสสังคมดังกล่าว กลับกลายเป็นว่าแม้ว่ารถจะมีราคาขายสูงถึง 1.55 ล้านบาท ในรุ่นเกียร์ธรรมดาเริ่มต้น ก็ยังได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม โดยใน 6 ชั่วโมงแรก นับตั้งแต่เปิดจองในช่วงเที่ยงของวันที่ 26 มีนาคม ปรากฏว่ารถล็อตแรกจำนวน 30 คันถูกสั่งจองจนหมดเกลี้ยง และยังมียอดสั่งจองเพิ่มเติมอีก 6 คัน ในล็อตที่ 2 และเพียง 5 วันหลังจากเริมเปิดจอง ซูซูกิ ก็ปิดการขาย  Suzuki Jimny   จำนวน 90 คัน สำหรับประเทศไทย และยังไม่มีทีท่าว่าจะเปิดขายอีกในอนาคต

จากทั้ง 3 กรณีที่เห็น ต่างชัดเจน ถึงวลีที่มีคนพูดผ่านโซเชียลว่า คนบ่นไม่ซื้อ , คนซื้อไม่บ่น ล้วนเป็นจริงๆ อาจเพราะรถเหล่านี้เป็นรถที่มีบุคลิกตัวตนตอบโจทย์บางอย่างกับคนที่มีความต้องการจริงๆ เช่น ตอบเรื่องลุยใน   Raptor ,ตอบเรื่องประหยัดใน  Mazda2  ดีเซล หรือจะเป็นการตอบเรื่องสไตล์และความแตกต่างใน   Suzuki Jimny  ทั้งหมดพิสูจน์แล้วว่า ความต้องการของคนแตกต่างกัน ตามความต้องการในการซื้อรถ และถ้าสังเกตให้ดี รถที่ดูเหมือนแพงเหล่านี้พกความเป็นหนึ่งเดียวในเซกเม้นท์และไม่มีคู่แข่งกับพวกมันเลย

เหตุการณ์ คนซื้อไม่บ่น, คนบ่นไม่ซื้อ  คงน่าจะยังมีต่อไปในภายภาคหน้า ตามยุคกระแสโซเชี่ยลมาแรง แต่ถ้าเราทุกคนต่างมองมุมกลับว่าแต่ละคนก็มีความชอบและต้องการรถที่ไม่เหมือนกัน ก็อาจจะทำให้คุณคิดได้บ้างว่ารถบางรุ่น บางแบบที่ดุมีราคาแพงไม่น่าจะมีคนซื้อ บางทีการตลาดเขาอาจจะคิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าพวกเขาสามารถจับใจลูกค้าบางกลุ่มที่มีความต้องการและมองราคาขายเหล่านั้นเป็นเพียงค่างวด ที่ได้มาซึ่งความแตกต่างหรือพวกเขาอาจจะได้ใช้ออพชั่นรถคันนั้นๆ จริงๆ ก็ได้

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่