เมื่อกล่าวถึงการกีฬาที่แข่งกันในระดับอาเซียน หลายคนอาจจะนึกถึงการแข่งขันกีฬาต่างๆ มากมายที่นักกีฬาต่างพยายามฝึกร่างกายเพื่อคว้าชัยเอาเหรียญทองกลับบ้านตัวเอง สำหรับคนทั่วไปรางวัลอาจจะไม่ต้องเป็นเหรียญรางวัล หากถ้ามันเป็นรถสักคัน ผมเชื่อว่าก็ฟังแล้วน่าสนใจ

กว่า 16 ปี  ของการแข่งขัน Subaru  Palm Challenge   และหลังจากหลบเลี่ยงจะไปดูงานแข่งนี้มาได้หลายปี ไม่ว่าจะส่งน้องไปทีมงานไปแทนตัวเอง ในที่สุดก็มาถึงวาระที่ผไม่สามารถเลี่ยงได้

หลายคนไม่เคยรู้จักงาน   Subaru  Palm Challenge   มาก่อน งานนี้ คืองานที่ซูบารุจัดแข่งขันกีฬาอึดทนแกร่ง ด้วยการท้อทายให้คุณยืนแตะรถ   Subaru   ให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทนแดด , ฝน หรือกระทั่งความหิวกระหาย ทั้งหมดต้องทำให้ได้เพื่อฝ่าฟันเป็นเจ้าของรถยนต์ Subaru  XV  1 คันกลับบ้านไปฟรีๆ

แน่นอนฟังเหมือนง่ายแต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิดอย่างที่คิด คุณคิดว่าเป็นคุณจะยืนอยู่ท่ามกลางแดดร้อนได้นานกี่ชั่วโมง

ผมมาดูรายการนี้รอบคัดเลือกทุกปี แล้วตั้งคำถามเหมือนที่คุณจะถามว่า มันยากตรงไหน

ในระหว่างถูกอันเชิญบินไปสิงคโปร ผมครุ่นคิดว่า นี่มันก็เกมง่ายๆ ไม่ยาก ใครก็น่าทำได้ แต่พอได้ยินว่าปีที่แล้วยืนกันประมาณ 74 ชั่วโมง และ สูงสุด คือในปี 2014, 82 ชั่วโมง หรือประมาณเกือบ 4 วัน แถมไม่ใช่ว่าจะเข้าห้องน้ำ , กินข้าว หรือพักเมื่อได้ตามสบาย เพราะทั้งหมด จะเกิดขึ้นเพียง 5 นาที ในทุกๆ 6 ชั่วโมงของการแข่งขัน ฟังแล้วก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่หมูอย่างที่คิดแฮะ …

สำหรับปีนี้ นอกจากทัพนักข่าว 20 คน ก็มีนักแตะชาวไทย 20 คนเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ เป็นตัวแทนจากการแข่งขันรอบคัดเลือกในประเทศไทย เพื่อร่วมชิงชัยในครั้งนี้ โดยเป้าหมายสงสุดคือเพื่อ  Subaru  X 2.0 I S  Eyesight   ซึ่งสำหรับประเทศไทย หากเป็นผู้ชนะจะได้รุ่น 2.0 iP  แทน

คนไทยมีความตั้งใจมากในการแข่งขันครั้งนี้ผมถามทราบมาว่ามีการรวมตัวฝึกซ้อมวิ่งความฟิตของร่างกาย เพิ่มความอึดเพื่อรับกับการแตะรถเป็นเวลากว่า 3 วัน

การแข่งขันครั้งนี้ไม่เพียงแต่คนไทยเท่านั้น แต่ยังมีชาติในอาเซียนอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เวียดนาม ,กัมพูชา ,มาเลเซีย ไปจนถึงไต้หวัน รวมคนไทยด้วยก็กว่า 80 ชีวิต โดยนอกจากชาวอาเซียนแล้วก็ยังมีการคัดเลือกชาวสิงคโปรมาร่วมอีกกว่า 320 คน รวมเป็นจำนวน 400 คน ทั้งหมดยืนรวมกันอยู่ในลานแข่งขัน ที่มีรถยนต์ 10 คัน 1 คัน มีคนยืนเบียดกัน 40 คน ในภาวะอากาศแดดเปรี้ยงในวันแรก

ขวัญกำลังใจทีมชาติไทยถือว่าพร้อมมาก คนที่ถูกทักทายสุดคือ คุณต้าร์ ไพทูรย์ สงวนนาม ซึ่งเขาโชคดีมาก จับตำแหน่งมือ ได้   R1   ซึ่งเป็นตำแหน่งหน้ารถพอดี และเป็นจุดที่ถือว่าแปะง่ายที่สุดในความคิดเห็นของผู้แข่งขัน

ในปีนี้นอกจากรางวัลใหญ่รถยนต์   Subaru  XV   แล้ว ยังมีรางวัลเงินสดพิเศษหลังจากที่ผู้แข่งขันอยู่ในเกมนานกว่า 48 ชั่วโมง

ทีมไทยปีนี้เรียกว่าสู้สุดใจ ผ่านมา 24 ชั่วโมงทีมไทยยังครบเรียกว่าสู้ไม่มีถอย ในขณะที่ชาติอื่นเริ่มมีโรยรา และสละเรือออกจากเกมไปตามๆ กัน

 คนไทยคนแรกออกจากเกมในช่วง 2 ทุ่มของคืนแรก แต่ทุกคนยังขวัญกำลังใจดี ไม่นานเราได้ยืนว่าอีกคนต้องออกจากการแข่งขันตามๆกัน ทำให้ในคืนวันแรกคนไทยเหลือ 8 คน

ขยี้ตาตื่นเช้ามาวันที่ 2 ได้รับรายงานว่า คนไทยหลุดจากการแข่งขันไปอีก 2 คน เหลือ 6 คน และตกรอบอีกคนในเช้าวันนั้น เหลือชาวไทย 5 คน ยังแตะอึดสู้กันต่อไป

บรรยากาศวันที่ 2 สิงคโปรครึ้มฟ้าครึ้มฝน โดยประเทศไทย นำในตำแหน่งทีมอาเซียน ด้วยคนจำนวน 5 คน ตามมาด้วย มาเลเซีย และ และฟิลลิปปินส์ ส่วน สิงคโปร จาก 320 คน ตอนนี้เหลือเพียง 27 คนเท่านั้น

ตกบ่ายคนไทยอีกคนต้องออกจากการแข่งขัน ด้วยการยืนมายาวนานทำให้ข้อเท้าบวม ทำให้ไทยเราลุ้นชิงกับมาเลเซีย ด้วยจำนวน 4 คนเท่ากัน   

ในวันนี้ผมเองได้รับเกียรติเข้าไปหลังเวทีเพื่อสังเกตเวลาพัก 5 นาที ของผู้แข่งขัน ซึ่งผู้แข่งขันจะต้องพัก รับประทานอาหาร และเข้าห้องน้ำ ให้เสร็จครบจบในคราวเดียว

แน่นอนส่วนสำคัญที่จะทำให้อยู่รอดในการแข่งขันได้หรือไม่ อยู่ที่อาหาร และน้ำที่ผู้แข่งขันทานเข้าไป ผมสังเกตว่ามี ข้าวกล่อง , กล้วยน้ำหว้า ,น้ำมันมะพร้าวจากผู้สนับสนุน   Cocomax   และน้ำเปล่า .. คำถามที่ผมสงสัยคือต้องทานอะไร …. จึงจะอยู่รอดอีก 6ชั่วโมง แล้วเพื่อนๆ ล่ะคิดว่าไงครับ

ทานน้ำมากไปคุณก็จะต้องเข้าห้องน้ำ ทานอาหารมากไปก็ต้องเข้าห้องน้ำเช่นกัน แต่กลับกันถ้าทานน้ำน้อยไปร่างกายก็จะเหนื่อยล้า และตามมาด้วยตระคริวหรือเหน็บได้ เรียกว่า 5 นาทีแห่งการพัก ยังต้องคิดวางแผน

นอกจากนี้เมื่อยืนนานจะมีการปวดเมื่อย โดยเฉพาะมือและข้อเท้าด้วย ผมเห็นในช่วงสุดท้ายการพัก มีการยืดเส้นเตรียมพร้อม โดยอาจเอาขาพาดรถ นอนเหยียดยาวสั้นๆ ก่อนกลับเข้าสู่การแข่งขันต่อไป

ในช่วงหัวค่ำวันที่ 2 คนไทย เหลือเพียง 2 คน ส่วนมาเลเซียยังอึดเหลือ 3 คน ทีมคนไทยและสื่อคนไทยตามมาเชียร์คนไทย อีก 2 คนที่เหลือ โดยเฉพาะในช่วงหลังเที่ยงคืนไปแล้ว

ผมลงมาดูการแข่งขันเข้มข้น ผมเช็คขวัญกำลังใจของผู้แข่งขันชาวไทย โดยเฉพาะคุณต้าร์ว่า ยังอยู่ดีไหวใช่ไหม เพราะถึงกลางคืนแบบนี้ คนอื่นอาจหนีไปนอน แต่ผู้แข่งขันแตะอึดเรายังต้องแตะรถกันต่อไป ทนง่วงและทนหนาวท่ามกลางค่ำคืนเมืองสิงคโปร

ผมถามคุณต้ารเรื่องการทานอาหารที่สงสัย เขาก็แจงให้ฟังว่าควรจะทานน้ำ และข้าวเล็กน้อย กับกล้วย ทุกอย่างต้องผสมกัน เพื่อไม่ให้ขาดสิ่งที่ร่างกายต้องการเพื่อแตะรถต่อไป

เช้าวันที่ 3 เริ่มขึ้น ข่าวดีสำหรับคนไทย 2 คนยังอยู่ ตกบ่ายการแข่งขันเข้มข้นขึ้น เมื่อผู้แข่งขันในอาเซียนชาวจีนคนสุดท้ายต้องออกจากการแข่งขัน ทำให้ในตอนนี้เหลือชาวไทย 2 คน สู้กับชาวสิงคโปร 2 คน เรียกว่า ครึ่งต่อครึ่ง

ทำเอาเราต้องมาเกาะติดสถานการณ์ ช่วงบ่ายฝนสิงคโปรทำให้การแข่งขันสนุกขึ้น คนไทยเรา 2 คนยืนสู้อย่างสุดความสามารถ แต่แล้วคนไทยเราถูกปรับออกจากการแข่งขันโดยการตัดสินของกรรมการชาวสิงคโปร ทำให้ชาวไทยเหลือคนสุดท้ายสู้กับชาวสิงคโปร

ไม่นานชาวสิงคโปรเหลือเพียงหญิงสาว ชื่อ  อนาลิซา มอคห์ทาร์ วัย 40 ปี เธอคนนี้ไม่ธรรมดา ด้วยตำแหน่งรองแชมป์เมื่อปีที่แล้ว ส่วนคนไทยเราเหลือคุณต้าร์ สู้สุดใจ

โดยคุณต้าร์โดนเตือนเรื่องการกดมือไม่แน่นบนฝากระโปรง ส่วนหนึ่งมากจากการสภาพฝนที่ตกทำให้ ผิวฝากระโปรงรถจะลื่น ในขณะที่ อนาลิซา ก็ได้ตำแหน่งบนฝากระโปรงด้านข้างเช่นกัน  จึงสบายกว่าคนไทยสักหน่อย

อีกไม่กี่นาทีจะพักคนไทยเราสู้สุดใจ ส่วนสิงคโปรก็ไม่ยอมเช่นกัน แต่เราเสียเปรียบกว่าจากเรื่องตำแหน่งที่วางมือ ทางคุณต้าร์จึงวางมือประกบเพื่อทำให้แฟนๆ คนสิงคโปร และกรรมการที่มายืนจ้อง มั่นใจว่าเขาทำถูกกติกาแน่นอน ไม่ตุกติก

แต่แล้วการแข่งขันก็มาสิ้นสุดลง เนื่องจากสาเหตุใดก็ไม่ทราบ ทำให้ อนาลิซ่า ชาวสิงคโปรชนะไป ด้วยเวลายืนต่างจากคนไทยเพียง 58 วินาที ด้วยเวลาแตะรถรวม 75 ชั่วโมง 17 นาที 58 วินาที ส่วนคุณต้าร์คนไทยเราทำได้ 75 ชั่วโมง  17 นาที 

แม้ว่าท้ายสุดคนไทยจะพ่ายไปอย่างงงๆ ท่ามกลางสายตาสื่อมวลชนชาวไทย ที่ยังตะลึงเป็นสักขีพยานกับการแข่งขันที่ดุเดือดและเข้มข้นในนาทีสุดท้าย

โดยทีมไทยทั้ง 10 คนได้รับตำแหน่ง Country  Team Winner   ด้วยเวลายืนของทุกคนรวมกัน  475 ชั่วโมง 15 นาที ส่วนคุณต้าร์เอง รับรางวัล Asia  Winner   มูลค่ารางวัล 5,000ดอลล่าร์สิงคโปร   Country winner   อีก 1,000 ดอลล่าร์ สิงคโปร และรางวัลรางวัลรองชนะเลิศ มูลค่า 5,000 ดอลล่าร์ สิงคโปร นอกจากนี้ยังมีรางวัลส่วนแบ่งจากประเภททีมอีก 1,000 ดอลล่าร์ สอิคโปร และรางวัลสำหรับการยืนนาน ทุก 24 ,48 และ 72 ชั่วโมง อีกรางวัลละ 100 ดออล่าร์สิงคโปร

สุทธิแล้วแม้ว่าจะไม่ได้รถกลับบ้านแต่แชมป์ขวัญใจคนไทยเรารับรางวัลกลับบ้าน 12,300 ดอลล่าร์ สิงคโปร หรือประมาณ 295,000 บาทไทย เลยทีเดียว  

ส่วนแชมป์ชาวสิงคโปรก็เรียกว่าตื้นตันใจมาก เพราะเธอเข้าแข่งขันมากว่า 12 ครั้ง และเธอเคยได้รองแชมป์ถึง 2 ครั้ง และเป็นสุภาพสตรีคนที่ 2 ในการแข่งขันครั้งนี้ และเป็นผู้หญิงคนแรกที่ชนะการแข่งขันนี้โดยที่ไม่ได้แบ่งเพศในการแข่งขันแตะรถ

อนาลิซ่า กล่าวให้สัมภาษณ์ หลังการแข่งขันว่า  “การแข่งขันในปีนี้ยากมากๆสำหรับดิฉัน เพราะว่าดิฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย และสภาพอากาศที่คาดเดาไม่ได้ก็คือบททดสอบที่ท้าทายจริงๆ แต่ดิฉันเชื่อเสมอว่าถ้าเราตั้งใจจริงกับการไปให้ถึงความฝัน  ค่ำคืนนี้ดิฉันก็คว้ารางวัลที่ 1 มาได้แล้วจริงๆ มันก็เป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างหวานอมขมกลืนเหมือนกันค่ะ เพราะว่าดิฉันคงจะคิดถึงการแข่งขันนี้มากๆ”

เกมอึดคนแกร่ง Subaru  Car Challenge ในปีนี้เรียกว่าเข้มข้นถึงที่สุดการแข่งขัน ก็น่าเสียดายที่คนไทยไม่คว้าแชมป์เอารถกลับเมืองไทยได้ แต่ก็นับว่าเป็นการแข่งขันยากหิน และถ้าคุณอยากได้รางวัล ท้าทายความสามารถตัวเอง ลองดูว่าปีหน้า  Subaru  Car Challenge  ลงทะเบียนก็ไปสมัคร แล้วคุณจะรู้ว่า แค่แตะรถนานๆ มันไม่ง่ายอย่างที่คิด

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่
Tags: