ในช่วงนี้ หลายค่าย อาจจะเริ่มหันไปหารถยนต์ไฟฟ้ากันอยน่างมาก แต่นั่นอาจไม่ใช่กับแบรนด์ อย่าง Renault หรือ Geely ทั้ง สอง เพิ่งจับมือกัน เตรียมพัฒนา เครืองยนต์สนดาป รวมถึง ระบบขับเคลื่อนไฮบริด

เบื้องต้น ในการจับมือครั้งนี้ ทั้ง 2 บริษัท จะลงทุนในบริษัทใหม่ ในสัดส่วน 50/50 หรือ ครึ่งต่อครึ่ง โดย บริษัทใหม่นี้ มีหน้าที่ในการพัมนาระบบขับเคลื่อนทั้งหมด ตั้งแต่เครื่องยนต์ไปจนถึงชุดขับเคลื่อนหรือ เกียร์ ป้อนให้กับบริษัทรถยนต์ในเครือ ของ ทั้ง 2 บริษัท ซึ่งได้แก่

ฝั่ง Renault : Nissan , Mitsubishi , Dacia
ฝั่ง Geely : Lyn & Co , Volvo , Proton

เบื้องต้น มีการยืนยันว่า บริษัทใหม่นี้ จะโฟกัสที่ระบบขับเคลื่อนไฮบริด และเทคโนโลยีขับเคลื่อนใหม่ที่มุ่งเน้นการลดการปล่อยไอเสีย จะมีศูนย์การวิจัยทั้งหมด 5 แห่ง ใน 3 ทวีป ทั่วโลก และเตรียมจ้างงานมากวก่า 19,000 ตำแหน่ง รวมถึง มีโรงงานผลิตใน 17 ประเทศสำคัญ แต่ยังไม่มีการเปิดเผยว่า จะอยู่ในประเทศไหนบ้าง

สิ่งที่น่าสนใจ คือ การร่วมมือกันในครั้งนี้ อาจจะทำให้ เครื่องยนต์สันดาปต่ออายุ ไปอีก และ จะมีจำนวนกว่าร้อยละ 80 จาก พันธมิตร ที่ร่วมมือกันใน ครั้งนี้

ทั้งนี้ความ ร่วมมือดังกล่า สวจะมีขึ้นสำหรับ เทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปเท่านั้น โดยจุดเริ่มต้น มาจากการ ความร่วมือของ Geely และ Renault ในประเทศเกาหลีใต้

ทางด้าน Renault ได้แบ่ง หน่วยงานธุรกิจ ออกเป็น ทั้งหน่วยเครื่องยนต์สันดาป และ หน่วย ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า

ในเบื้องต้น ทาง หน่วยขับเคลื่อนไฟฟ้า มีการยืนขอเสนอ ระหว่าง เรโนลืตและนิสสัน ในการร่วมทัน และ สางปัญหาความสัมพันธื ที่มีมานาาน หลังการลงจากตำแหน่ง ของ นาย คาร์ลอว โกห์น

ภายใต้ข้อแม้ว่า ทางนิสสัน ต้องแบ่ง เทคโนโลยี ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า รวมถึง ทรัพย์สินทางปัญหา ในเรื่องนี้ กับทางเรโนล์ต ทั้งหมด แต่มีรายงานว่า ทางนิสสัน มีความสนใจ ในข้อเสนอ นี้

ภายหลัง จากมีการประกาศ การร่วมมือใหม่ ระหว่าง เรโนล์ต Geely ทางนิสสัน ยังไม่มีการ ให้ความเห็นใดกับสื่อ ในเรื่องดังกล่าว

ทางด้าน นาย  Luca de Meo CEO ของ Renault ออกมาเปิดเผยว่า ทางด้านกลุ่มเรโนล์เราเร่งการปรับเปลี่ยน โครงสร้างการทำงานในองค์กร ในหารให้ความสำคัญกับคุณค่ายานยนต์ในโลกยุคใหม่ เรายิ่นดีที่จะประกาศ ความสัมพันธ์ ในหารร่วมมือกับทาง Geely ในการต่อยอดพัมนาเครื่องยนต์สันดาป และเทคโนโลยีไฮบริด ซึ่งจะเป็นส่้วนสำคัญ ของ ระบบขับเคลื่อนใน ทศวรรษหน้า

ที่มา Nikkei Asia

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่