ขณะที่ Neta ยังคงตัดสินใจที่จะบุกตลาดประเทศไทยด้วยรถไฟฟ้าขนาดเล็กของตนเองอย่าง Neta V เพียงรุ่นเดียวเท่านั้นในตอนนี้ แต่ล่าสุด สำหรับประเทศบ้านเกิดของพวกเขา กลับเตรียมเปิดประตูต้อนรับน้องใหม่กันแล้วกับ Neta E รถไฟฟ้าทรงสปอร์ตคูเป้ ที่มาพร้อมกับแรงม้ามากถึง 462 ตัว

Neta E ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของแบรนด์ ที่มาพร้อมกับรูปทรงตัวถังแบบสปอร์ตคูเป้ ซึ่งในส่วนงานดีไซน์ของมันนั้น ต้องบอกว่าค่อนข้าง “แปลกตา อย่างคุ้นเคย” อยู่พอสมควร เพราะในขณะที่ทรวดทรงของมัน ดูเหมือนเป็นรถคูเป้ที่จะบอกว่าหน้ายาวก็ไม่ใช่ จะบอกว่าท้ายลาดไปก็ไม่เชิง แถมความสูงใต้ท้องรถยังดูมากไปนิด เช่นเดียวกับชุดล้อที่ดูจะมีขนาดวงเล็กเกินไปอีกต่างหาก

แต่งานออกแบบชิ้นส่วนรายละเอียดต่างๆรอบคัน กลับดูเหมือนจะได้รับแรงบันดาลใจมากจากรถสปอร์ตคาร์ หรือไม่ก็ซุปเปอร์คาร์หลักหลายรุ่น เช่น งานออกแบบชุดกันชนหน้า และฝากระโปรงที่สัดส่วนคล้ายๆกับรถ Ferrari 458 แล้วถูกเพิ่มความดุดันของรถ Corvette C8 เข้าไป, ไฟท้ายแบบ Maserati GrandTurismo, และฝากระโปรงท้ายที่ยื่นออกมาจากแนวไฟท้ายอีกนิดหน่อยแบบ Aston Martin DB11

ทว่าในส่วนงานออกแบบถ้ามองในภาพรวม ก็คงแล้วแต่รสนิยมของแต่ละคนอยู่ดี ทว่าหากเจาะจงไปที่ตัวเลขสัดส่วนต่างๆของตัวรถ ซึ่งประกอบไปด้วย มิติด้านยาว 4,712 มิลลิเมตร, ด้านกว้าง 1,979 มิลลิเมตร, ด้านสูง 1,415 มิลลิเมตร, และระยะฐานล้ออีก 2,770 มิลลิเมตร ก็จะเท่ากับว่ามันมีสัดส่วนที่ไม่หนีไปจากรถคูเป้จากเมืองเบียร์ที่ใครหลายๆคนคุ้นหูกันดีอย่าง Audi A5 Coupe และ BMW Series-4 Coupe เท่าไหร่นัก

ด้านตัวเลขสมรรถนะระบบขับเคลื่อนของมัน ก็ถือว่าค่อนข้างน่าสนใจ เพราะมันจะมาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังขับ 231 PS จำนวนสองชุดด้วยกัน ไว้สำหรับแยกกันขับเคลื่อนชุดล้อคู่หน้า กับชุดล้อคู่หลัง และแน่นอนว่าเมื่อบวกกำลังของมอเตอร์ทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน ตัวเลขกำลังสูงสุดของมันจึงอยู่ที่ 462 PS

ติดแค่เพียงอย่างเดียวคือความเร็วสูงสุดของมันดันถูกจำกัดเอาไว้แค่เพียง 190 กิโลเมตร/ชั่วโมงเท่านั้น (ให้สัก 220 กิโลเมตร/ชั่วโมงก็ยังดี) ส่วนระยะทางในการใช้งานสูงสุดต่อชาร์จ ก็จะอยู่ระหว่าง 560-580 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน CLTC

ทั้งนี้ ทาง Neta ยังไม่ได้มีการเปิดเผยว่าพวกเขาจะวางจำหน่ายเจ้า Neta E ด้วยราคาเท่าใดกันแน่ แต่อย่างน้อยก็มีการเปิดเผยว่ามันจะมีทั้งรุ่นที่มีแค่เพียงระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน ไปจนถึงรุ่นที่ได้รับการติดตั้งระบบความปลอดภัยขั้นสูง อย่างระบบ ADAS + กล้อง และเซนเซอร์รอบคันใส่มาด้วย โดยตัวรถจะพร้อมขายจริงในช่วงเดือนมีนาคม ปี 2023 ส่วนจะมีโอกาสถูกนำมาวางจำหน่ายในไทยด้วยหรือไม่ ก็ต้องรอการอัพเดทข้อมูลกันต่อไป

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่
Tags: