ตั้งแต่ มาสด้า ประกาศความร่วมมือกับ Isuzu หลายคน ต่างจับตาการจับมือครั้งใหม่ของทั้งคู่ Mazda BT-50 ถือเป็นหนึ่งในรุ่นที่มีความสำคัญ อย่างมากในตลาดของมาสด้า โดยเฉพาะประเทศไทย มียอดขายกระบะรวมในประเทศกว่าครึ่งของรถยนต์นั่ง
การกลับมาของ Mazda BT-50 เปิดเผยไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ในออสเตรเลียเป็นที่แรก เราได้เห็นผ่านอินเตอร์เน็ตกันไปมาก และรู้ว่า น่าจะอีกไม่นานแล้วสำหรับเมืองไทย ในฐานะแหล่งผลิตรถรุ่นนี้ ที่จะกระจายออกสู่หลายประเทศทั่วโลก
แม้ปีนี้มาสด้าจะยังไม่เปิดตัวรถกระบะพวกเขาออกมาไม่แม้แต่ในงาน Motor Expo ส่งท้ายปีที่เคยคาดว่าอย่างน้อยที่สุดจะต้องมาโชว์ แต่หลังจากงานไม่นาน ก็มีอีเมล์ส่มาเรียนเชิญเราไปสัมผัสเจ้า Mazda BT-50 2021 รุ่นใหม่ ซึ่งเรากำลังจะได้สัมผัสกันครั้งแรก
การแหกขี้ตาตืนในตอนเช้าวันเสาร์ อย่างตื่นเต้นเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่มีความรู้สึกนี้ ระหว่างทางขับรถก็พลันคิดมันจะออกมาเป็นอย่างไร ด้วยเท่าที่ติดตามข่าวสารรู้ดีว่า มาสด้าใช้พื้นฐานกระบะ Isuzu Dmax ทั้งหมด จนเรียกว่าถ้าไม่นับหน้าตา ก็เหมือนการสลับร่างแปะตราเท่านั้นเอง
ท่ามกลางแดดร้อนผมยืนอยู่หน้ารถ Mazda BT-50 ใหม่ เห็นตัวเป็นๆ คันจริง ครั้งแรก ยอมรับว่า งานออกแบบตัวรถเข้าท่าเข้าทีอยู่เหมือนกัน
คนไทยอาจจะเริ่มชินแนวทางกระบะยุคใหม่ อะไรก็ต้องแกร่งต้องดูลุย ตามวลีแซวกันขำๆ ว่า “ใครๆ ก็อยากเป็นเรนเจอร์”.. มาสด้ามองว่า นั่นไม่ใช่ทางของมาสด้า กระบะของพวกขาต้องลงตัวกับทุกช่วงชีวิต รูปแบบการใช้งานที่หลากหลายของคนใช้กระบะ ไม่ว่าจะ เป็นการทำกิจกรรมในวันว่าง , การพร้อมสำหรับงานทางการ ต้องแต่งตัวดูดีขับกระบะคุยงานกับลูกค้า
นาย เอจิ คิมิโมโต้ หัวหน้า งานออกแบบ มาสด้า บีที 50 เปิดเผยว่า มาสด้าให้ใส่ใจในการออกแบบรถกระบะรุ่นนี้อย่างมาก เราได้นำเส้นสายงานออกแบบระหว่างความเป็นรถกระบะ ต้องดูแกร่ง ดูลุย และบึกบึน มารวมกับงานออกแบบความเป็นมาสด้าที่รู้จักกันดีในนาม Kodo Design
การผสานงานออกแบบในครั้งนี้ถ่ายทอดเอกลักษณ์ใหม่ออกมา ทำให้รถดูพร้อมใช้งานในทุกรูปแบบ เป็นคอนเซปที่เราเรียกว่า Built for Dress and Jean เข้าได้กับทุกจังหวะชีวิตของลูกค้า ไปด้วยกันได้ทุกที่
เมื่อมองทางด้านหน้า ก็น่าแปลกใจนักที่เจ้า Mazda BT 50 ใหม่จะต้อนรับเราด้วยกระจังหน้า 5 เหลี่ยมขนาดใหญ่ พร้อมโครมเมี่ยม แปลงร่างเป็นกระบะบที่ดูมีความหรูหราทันสมัยโคมไฟหน้าวางไว้ด้านบน มาพร้อมโคมโปรเจคเตอร์ ในโคมมีไฟ Day Time Running Light ส่วนตำแหน่งไฟเลี้ยวถูกโยนเปลี่ยนมาไว้ทางด้านล่าง วางคู่กับตำแหน่งไฟหรี่ , และไฟตัดหมอกหน้า
ทางด้านบนฝากระโปรง ออกแบบให้มีความรู้สึกบึกบึนแข็งขันดูดุดันมากขึ้น เมื่อมององค์รวมทางด้านหน้า จะรู้สึกว่ามาสด้า บีที 50 ใหม่ ดูหรูและดุดันไปพร้อมกัน อันที่จริงลูกค้าอยากเห็นงานออกแบบสไตล์นี้จากมาสด้า นานมาแล้ว หลังจากเปลี่ยนแนวทางการออกแบบมาเป็น Kodo Design
ถอยห่างจากรถมองทางด้านข้าง รายละเอียดการออกแบบเพิ่มความบึกบึนด้วยเส้นไหล่ ลากยาวจากช่วงซุ้มล้อหน้าไปทางด้านหลังจนถึงไฟท้ายพร้อมเส้นสายที่ขอบชายล่าง เสริมความบึกบึนสปอร์ต
รุ่นที่เราเห็นวันนี้ทั้งหมดเป็นตัวยกสูง ไม่ก็ขับเคลื่อนสี่ล้อ ทั้งหมด ให้บันไดข้างมาด้วยจากโรงงาน ถ้าคุณมองรุ่นแคปของมาสด้า ยังคงมาพร้อมประตูแคป เปิดได้ที่เรียกว่า Mazda Free Style Door อำนวยความสะดวก ถ้าจะเปลี่ยนพื้นที่แคป ใช้โดยสารชั่วคราว
ในส่วนของรุ่น 4 ประตู Double Cab มาสด้า เปิดเผยว่า พยายามออกแบบให้เข้าออกได้ง่ายขึ้นกว่ารุ่นเดิม ด้วยการเว้นช่วงประตูมากขึ้น รวมถึง การวางมือจับประตูเพื่อช่วยในการขึ้นลงดียิ่งขึ้นด้วย
ชุดล้อมีให้เลือกเปลี่ยนไปตามแต่ละรุ่นทั้งขนาด 17 และ 18 นิ้ว โดยในรุ่น 18 นิ้ว จะอยู่ในกลุ่มรุ่นขับสองยกสูง หรือ รุ่น ขนขับเคลื่อนสีล้อ
ส่วนทางด้านท้ายรถออกแบบสอดรับกับงานออกแบบทางด้านหน้า ทั้งหมด มาพร้อมมือจับท้ายแบบโครเมี่ยม สิ่งที่ผมไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไร คือไฟท้าย ที่มองแล้วคล้ายรถอีซูซุรุ่นเก่าเปลี่ยนลายกราฟฟิก แต่ผมดีใจที่มาสด้า ยังไม่ก้าวไปยังไฟท้าย LED ถึงจะดูว่าล้าสมัยไปบ้า งแต่การใช้ไฟท้ายแบบภายในเป็นหลอดใส้ ทำให้การบำรุงรักษาง่ายมา โดยเฉพาะใครที่ต้องใช้รถอย่างสมบุกสมบัน ไฟท้ายแตกเป็นกรณีที่ยากจะเลี่ยงและไฟท้ายธรรมดาๆ นี่แหละ ทำให้ค่าอะไหล่คงไม่พุ่งไปมากมายนัก
ตัวฝาท้ายไม่มีตัวช่วงผ่อนแรงมาให้เวลาเปิดอาจจะต้องระวังการกระแทก จุดยึดประตูท้ายกับตัวกระบะเป็นแบบบานพับ ดูค่อนข้างแข็งแรงไม่ต้องกังวลแบบหลายยี่ห้อที่เปลี่ยนมาใช้ สลิง
ก้าวเข้าในห้องโดยสาร มาสด้าจัดการเปลี่ยนรายละเอียดภายในห้องโดยสารใหม่ทั้งหมด เพื่อให้ความลงตัวน่าใช้งานมากขึ้น ในรุ่นบนๆจะภายในห้องโดยสารสีน้ำตาลเข้ม ดูดีให้ความรู้สึกภูมิฐานภายในครบเครื่อง น่าใช้งานด้วยเบาะนั่งสีน้ำตาล ออกแบบทรวดทรงให้มีช่วงปีกเบาะใหญ่ โอบกระชับช่วงไหล่ออกแนวบอกเบาะสปอร์ต
ตัดเย็บด้วยภายในหุ้มหนังสีน้ำตาล รุ่นท๊อปที่เราสัมผัสในวันนี้ ฝั่งคันนั่งจะมาพร้อมเบาะนั่งปรับไฟฟ้า ฝั่งคนนั่งปรับด้วยมือ ตรงหน้าคนขับให้หน้าจอเรือนไมล์เรืองแง รายละเอียดคล้ายๆ พี่น้องของมัน พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง รวมถึง ให้ปุ่มสตาร์ท
ตรงกลางติดตั้งระบบเครื่องเสียงจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ด้านล่างออกแบบช่วงชุดแอร์ออโต้ เป็นแบบ piano key ให้ความหรูหราน่าใช้งาน หัวเกียร์เรียกว่า ถอดมาจาก Isuzu D-max ราวกับเกาะ แต่รวมๆในเรื่องการออกแบบห้องโดยสาร ถือว่ามีความเรียบหรูหว่ามาก
ทางด้าน หลัง มาสด้า ออกแบบชุดเบาะใหม่พื้นที่การโดยสารรองรับผู้ใหญ่สูง 180 ซ.ม. สบายๆ ท่านั่งตอนหลังในรุ่น 4 ประตู ปรับให้เอนหลังเล็กน้อย ขาเอนขึ้นนิดหน่อย ก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรนัก ด้านหลังอำนวยความสะดวกด้วยพนักเท้าแขน และ ช่องแอร์ มีช่องชาร์ไฟ USB 2 แอมป์มาให้ด้วย อำนวยการเดินทาง
อย่างไรก็ดี ด้วยการเปลี่ยนมาใช้โครงสร้างของ Isuzu ต้องยอมรับว่า เมื่อดูขนาดตัวรถในภาพรวม มันดูเล็กลงเมื่อเทียบกับตัวรถรุ่นก่อนหน้านี้
ตัวรถรุ่นใหม่มีความยาวทั้งสิ้น 5,280 มม.กว้าง 1,870 มม.สูง 1,790 มม. มีระยะฐานล้อ 3,125 มม. เทียบกับรุ่นเดิมที่ ทำร่วมกับฟอร์ด สั้นลง 85 มม. เตี้ยลง 31 มม. แคบลง 20 มม.และ มีระยะฐานล้อ สั้นลง 95 มม. จึงไม่แปลกใจที่ คุณจะรู้สึกว่าตัวรถรุ่นใหม่ดูย่อส่วนลงจากรุ่นเดิม แต่เทียบกับ D-max ตัวรถ ยาวขึนเล็กน้อย
ทางด้านการขับขี่ เป็นหน้าที่ของเครื่องยนต์ดีเซล 1.9 และ 3.0 ลิตร ของทาง Isuzu รายละเอียดทางเทคนิค เรียกว่า ไม่ต่างจาก Isuzu D-Max
- เครื่องยนต์ 1.9 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า สูงสุด ที่ 3600 รอบต่อนาที ทำแรงบิดสูงสุด ได้ที่ 350 นิวตันเมตร สูงสุดที่ 1,800-2,200 รอบต่อนาที มาสด้าเคลมอัตราประหยัด 6.6 ลิตร/ 100 ก.ม.
- เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร ทำกำลังสูงสุอยู่ที่ 190 แรงม้า สูงสุดที่ 3,600 รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,600 รอบต่อนาที มาสด้าเคลมอัตราประหยัด 8.0 ลิตร /100ก.ม.
มีให้เลือกทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และ เกียร์ออโต้ 6 สปีด
ทดลองขับ Mazda BT-50 2021
มาถึงตรงนี้ หลายคนคงเริ่มสงสียในเมื่อมันเหมือนจะแค่ออกแบบใหม่จากร่าง D-Max จะขับดีกว่าแค่ไหนกันเชียว
อันที่จริง ตั้งแต่รุ่นที่แล้ว กระบะมาสด้า ขึ้นชื่อลือชามากในการเซทช่วงล่างและการตอบสนองพวงมาลัยที่เฉียบคมกว่ากระบะทั่วไป ใส่ดีเอ็นเอความเป็นมาสด้าเข้ามา
วันนี้ที่ลองขับหลักๆ มีรถ 2 รุ่น คือ 1.9 Hi- Racer 4X2 และ รุ่นท๊อปสุด ขับเคลือนสี่ล้อ 3.0 ทั้งคู่เป็นเกียร์ออโต้ 6 สปีด
1.9 Hi-Racer 4X2
เริ่มกันที่รุ่นแรก กระบะขับสองยกสูง สี่ประตู 1.9 ส่วนตัวผมมิงว่านี่จะเป็นรุ่นขายดีเหมือนอดีตในรุ่น 2.2 ลิตร ที่เคยทำออกมาตอบลูกค้า
หลังจากชมภายในภายนอกไปจนจุใจ วันนี้ลองขับมาขับ การขับแบ่งออกเป็น 3 สเตชั่นใหญ่ๆ คือ ด่าน สลาลอม และ เปลี่ยนเลน ดูการตอบสนองของพวงมาลัย ,ด่านทางโค้งต่อเนื่อง ดูการตอบสนองของช่วงล่าง และด่านสุดท้าย วิ่งด้วยความเร็วในวงนอก เพื่อดูการตอบสนองของกำลังเครื่องยนต์
เครื่องยนต์ 1.9 ลิตรของ Isuzu ถึงจะฟังดูดีลงตัวในการใช้งาน แต่ถ้าพูดกันในความจริงกำลังแรงบิดลดลงจากรุ่น 2.2 เดิมประมาณ 25 นิวตันเมตร แต่มาสด้าก็มองว่ามันน่าจะพอเพียงต่อการขับขี่ โดยเฉพาะลูกค้าที่ไม่ได้กะออกกระบะไปลุย เป็นสายใช้งานชิลๆ ในเมือง
พอขึ้นรถเซทท่านั่งแล้ว สิ่งแรกสังเกตได้ทันที คือเบาะนั่งมาสด้า ปีกโอบออกมากว้างราวกับเบาะรถซิ่ง มันกว้างจนคนตัวใหญ่อย่างผู้เขียนยังรู้สึกว่าเบาะมาแตะๆ ไหล่ ไม่รู้สึกอึดอัด
เข้าเกียร์ออกตัว ด่านแรกดูการใช้พวงมาลัย มาสด้าเปิดเผยว่า ในเวอร์ชั่นประเทศไทย จะเป็นพวงมาลัยไฮดรอลิกไม่ใช่ไฟฟ้า ถึงจะพูดแบบนั้น การกวัดแกว่งพวงมาลัยไปๆ มาๆ ผ่านกรวยในสนาม กลับรู้สึกถึงความมั่นใจในการใช้งาน และยังดูเหมือนจะมีความคมในการบังคับทิศทางมากกว่าของอีซูซุพอตัว
พวงมาลัยคมอย่างเดียวคงผ่านกรวยที่ความเร็ว 40-50 ก.ม/ช.ม.ในระยะ ช่องไฟ 4 เมตรไม่ได้ ถ้าไม่ได้ช่วงล่างที่ตอบสนองอย่างลงตัว มาสด้า เซทช่วงล่างให้เฟอร์มกว่าอีซูซุ อีกสักหน่อย ช่วงล่างจะออกอาการแน่นกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับตัว 1.9 ลิตร ด้วยกันกลับรู้สึกว่ามันตอบสนองดีกว่า ยิ่งในการเปลี่ยนเลนที่ความเร็ว 50 ก.ม./ช.ม. รุ้สึกได้ทันทีว่าดีกว่า และขนาดรถไม่ใช่ปัญหาต่อการควบคุม ในยามฉุกเฉิน
พอเข้าสู่ทางคดเคี้ยว ช่วงล่างของมาสด้า ก็ยิ่งสำแดงเดชในการขับขี่ออกมาอย่างเห็นได้ชัด มันเอาอยู่ทุกโค้ง แม้ว่าในความจริง การทดสอบจะให้เราใช้ความเร็วตามกำหนด ซึ่งไม่เกิน 60-70 ก.ม./ช.ม. แต่ในความจริง ทุกคนก็ขับเร็วเกินกว่านั้นมาก บางโค้งเข้าได้ที่ความเร็ว 80-90 ก.ม./ช.ม. ยิ่งในโค้งกว้างๆ อาจเข้าได้ถึง 100 ก.ม./ช.ม. โดยไม่รู้สึกว่าช่วงล่างจะเอาไม่อยู่
อย่างเดียวที่เป็นอุปสรรคในการเข้าโค้งอย่างบ้าคลั่งคือระบบควบคุมการทรงตัว ที่จะเข้ามารับช่วงอย่างรวดเร็ว จนบางทีก็น่ารำคาญ ชุดยาง Bridgestone Dueler H/T 684II ทำหน้าที่ของมันได้ แม้ว่าเข้าโค้งจะลั่นทุกโค้งง่ายไป หน่อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกของยางรถกระบะ
สิ่งที่น่าชื่นชมอีกอย่างในระหว่างการขับขี่ คือ การตอบสนองของชุดเกียร์ ซึ่งเกียร์ของมาสด้าจะไม่เซทแบบ อีซูซุที่เดียวทอน โดยเฉพาะเวลากดเบรก แต่คุณได้ความรู้สึกมั่นใจอย่างมากจากระบบช่วงล่างมั่น เกียร์จะทอนในจังหวะสุดท้าย โดยสังเกตจากการเบรกของขับขี่ส่วนหนึ่ง
โดยการเบรกเองก็ให้ความมั่นใจด้วยชุดเบรกขนาดใหญ่ 17 นิ้ว ติดตั้งในรุ่นขับสองยกสูงไปถึงขับเคลื่อนสี่ล้อ อาการเบรกแอบได้ดีกรีทาง SUV คือไม่เซทเบรก แบบเหยียบแล้วหน้าทิ่มมาก ทำให้เวลาเข้าโค้งรักษาสมดุลได้ดีกว่าที่คาดเอาไว้
ทางด้านเครื่องยนต์ อย่างที่บอกเว่ากำลังขับเท่ากัน สิ่งที่แตกต่างออกไป คือ การตอบสนองจากชุดเกียร์ ทำให้มันดูเร่งเร็วกว่ามาก ในตอนนี้เรายังไม่ทราบว่าอัตราทดเกียร์ระหว่าง Mazda BT-50 ใหม่ กับ Isuzu D-Max แตกต่างกันหรือไม่ ถ้าไม่ การตอบสนองที่เราพบ ทั้งหมดมาจากการปรับแต่งเกียร์เท่านั้น
รุ่น 3.0 ลิตร ขับเคลือนสี่ล้อ
เปลี่ยนสลับมายัง รุ่นเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร ผ่านการขับขี่ทั้ง 3 ด่านเหมือนกัน ผมรู้สึกว่า ในรุ่นนี้ น้ำหนักที่เพิ่มขึนทำให้รถขับยากขึ้นเล็กน้อย แต่จังหวะพวงมาลัยที่ดีคุมให้อยู่ในอาณัติได้ง่าย การตอบสนองพวงมาลัยยังคม คุมทุกการบังคับเลี้ยวอยู่หมัด เป็นตามใจ
พอถึงด่านเข้าโค้ง การตอบสนองช่วงล่างดูแข็งกว่ารุ่น 1.9ลิตร อีกนิด แต่ด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ทำให้การเข้าโค้งด้วยความเร็วบางโค้งต้องลดลง เพราะรถเริ่มสงอาการหน้าดื้อกลัวว่า เดี่ยวจะลงไปทานหญ้าเอาง่ายๆ หากก็ยังตอบสนองทำงานร่วมกับพวงมาลัย เป็นไปตามใจคิดเหมือนกันๆ
ขณะที่เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร มันตอบสนองดีอยู่แล้วเป็นทุนเดิม การตอบสนองเกียร์ ในบางจังหวะดูเหมือนจะเร็วขึ้น เช่นการทอนเกียร์ ก่อนเข้าโค้ง ส่วนทางตรงยาวๆ เครื่อง 3.0 ลิตร เร่งดีตามสไตล์
สรุป Mazda BT-50 2021 เล็กลงเปรียวขึ้น ขับดีเหมือนเดิม
หลังจากลอง Mazda BT-50 ใหม่ ทั้งเครื่องยนต์ 1.9 และ 3.0 ลิตร สิ่งที่ตอบได้ทันที คือ กระบะใหม่มาสด้า ถึงจะเหมือนเป็นร่างทรงอีซูซุ แต่ยังคงการตอบสนองที่ดีกว่า จากระบบกันสะเทือนที่ขับมั่นใจซับแรงกระแทกได้ดี และเข้าโค้งมันส์กว่ามาก
ถ้าเทียบกันรุ่นต่อรุ่น 1.9 ของ มาสด้า จะกระเดียดมาทางสปอร์ตมากกว่า ผมเชื่อว่า คนที่ขับอีซูซุ แล้วมาขับเจ้านี่ ถ้าบอกว่าพื้นฐานเดียวกัน ร้อยทั้งร้อย ถ้าเป็นนักขับจะชอบการตอบสนองทีดีกว่ามาก จนต้องคาราวะคนเซทรถ เครื่องยนต์เองก็ดูจะเร่งเร็วกว่า ที่สำคัญ สมดุลรถ ดูลงตัวกว่า
ขณะที่พันธมิตร จะเป็นการเน้นความสบายในการขับขี่ ไม่เน้นการตอบสนอง ซึ่งเปิดทางให้มาสด้า เซทรถตามแบบที่ตัวเองต้องการคือกระบะที่ตอบสนองดี อ
ส่วนรุ่น 3.0 ช่วงล่างจะกระด้างกว่ารุ่น 1.9 ลิตร แต่อาการช่วงล่างนั่งสบายกว่า D-max 3.0 ลิตร จากที่ขับวันนี้ รุ่นนี้ การตอบสนองเกียร์ก็ทำมาได้ดีกว่า รวมถึงพวงมาลัยยังคงคมบังคับมั่นใจ แต่หน้าจะดื้อง่ายกว่า ด้วยมีเพลาขับสี่เพิ่มเข้ามา
ดังนั้นในภาพรวม Mazda ได้เซท 3 สิ่งใหม่ เท่าที่ขับในวันนี้ คือ ช่วงล่างมั่นใจ และนั่งสบาย พวงมาลัย ที่เฉียบคม และ การตอบสนองจากชุดเกียร์ รวมถึงที่หลายคนอาจจะมองข้ามไปคือ สมดุลรถที่แตกต่าง
สำหรับ Mazda BT-50 ใหม่ จะเปิดตัวในประเทศไทย ในช่วงไตรมาสแรงปีหน้า และเมื่อมันเปิดตัว เราคงจะมีโอกาสสัมผัสมันอีกครั้ง
ขอบคุณมาสด้า ประเทศไทย ที่เรียนเชิญเข้าร่วมการทดสอบ Exclusive Preview Mazda BT 50 2021