ปรับโฉมล่าสุดไปกับ Lamborghini Huracan EVO 2019 ที่ปรับจูนเครื่องเบนซิน V10 จากรุ่น Performante มาใส่เป็นเครื่องมาตรฐานพกม้าทั้งสิ้น 640 ตัว

เผยโฉมเสียทีกับซุปเปอร์คาร์สัญชาติอิตาลี Lamborghini Huracan EVO 2019 ที่ได้เปลี่ยนด้านหน้าบริเวณกันชนใหม่ ด้านช่องดักอากาศเข้าเครื่องยังปรับให้เก็บลมวิ่งสู่ห้องเครื่องได้ดีขึ้น ส่วนท้ายรถก็ตกแต่งแซมด้วยกันชนสีดำลายล่าสุด และปิดท้ายด้วยล้อไซส์โตดีไซน์ใหม่

Lamborghini Huracan EVO 2019

หากมานั่งดูอย่างละเอียดจะเห็นว่า ด้านหลังมีการย้ายตำแหน่งแผ่นป้ายทะเบียน และยกไอเสียคู่ให้อยู่ขึ้น ซึ่งเมื่อทุกสิ่งจัดวางรวมกันมันทำให้ครีบดักอากาศ หรือที่เรียกว่าดิฟฟิวเซอร์อันมีสีเดียวกับตัวรถ ช่วยทำให้บั้นท้าย Huracan EVO ดูกลมกล่อมลงตัว

ขุมพลังของฮูราคาใหม่ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน V10 ขนาด 5.2 ลิตร ที่เคยอยู่บน Huracan Performante ตัวแรงสุดรุ่นพิเศษ มาปรับแต่งค่าใหม่หมด พร้อมด้วยการเปลี่ยนมาใช้วาล์วไอเสียทำจากไทเทเนียม กับชุดท่อไอเสียน้ำหนักเบา รวมถึงส่วนปลีกย่อยอื่นๆ ทำให้แรงม้าของซุปเปอร์คันใหม่มีพลังถึง 640 แรงม้า ที่ 8,000 รอบต่อนาที แรงบิด 600 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที

Lamborghini Huracan EVO 2019
Lamborghini Huracan EVO 2019

สำหรับอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 2.9 วินาที แล้ววิ่งทะลุ 200 กม./ชม. ด้วยเวลา 9 วินาที และทะยานสู่ความเร็วสูงสุด 325 กม./ชม. เรื่องน้ำหนักตัวรถทั้งคันอยู่ที่ 1,422 กก. เท่านั้น

เจ้าฮูราคาน อีโว ใหม่ ยังมาพร้อมระบบ Lamborghini Dinamica Veicolo Integrata ที่ขับเคลื่อนกำลังสู่ล้อทั้ง 4 ได้ชาญฉลาดรู้ทันทุกสถานการณ์ ผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 7 สปีด ยิ่งไปกว่านั้น ยังโดดเด่นด้วยการบังคับเลี้ยวจากล้อหลังเพื่อสร้างความมั่นใจเวลาเข้าโค้ง ส่วนช่วงล่างเป็นแบบ magneto rheological และพวงมาลัยที่ปรับค่าน้ำหนักกับความคมได้แปรผัน

Lamborghini Huracan EVO 2019

ในรุ่นปกติ Huracan EVO ติดตั้งล้อ 20 นิ้ว รัดด้วยยาง Pirelli P Zero 245/30 ที่ล้อหน้า ล้อหลังใส่ยางไซส์ 305/30 เสริมหล่อแถมสมรรถนะสูง ขณะเดียวกัน ระบบเบรกใช้จานคารืบอนเซรามิกที่ทำให้รถแรงคันนี้หยุดนิ่งจากความเร็ว 100 กม./ชม. ในระยะเพียง 31.9 เมตร

จบกันด้วยเรื่องห้องโดยสายภายใน ที่คราวนี้ติดตั้งจอสัมผัส 8.4 นิ้ว ที่สามารถควบคุมทุกสิ่งอย่างตั้งแต่ระบบสาระบันเทิง ไปจนถึงฟังก์ชั่นต่างๆ ภายในรถ นอกจากนี้ ก็มีฟีเจอร์ Apple CarPlay กับกล้องคู่ไว้เป็นมาตรฐานด้วย

สำหรับราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 261,274 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 8,622,000 บาท) ซึ่งถ้าเปิดตัวในไทยคงบวกภาษีทะลุหลัก 20 ล้านบาทแน่นอน

ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com

[ngg src=”galleries” ids=”869″ display=”basic_thumbnail”]

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่