อยากรู้ไหมว่าระหว่างรถไฮบริด กับ รถดีเซล แท้จริงแล้วหากเทียบกันหมัดต่อหมัด ขุมกำลังใดจะตอบโจทย์ความประหยัดในแต่ละประเด็นมากกว่ากัน?

ผู้บริโภคยุคปัจจุบันมีความต้องการสูงขึ้นในทุกประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองหารถยนต์คันใหม่ ที่ต้องการทั้งความสวยงาม ห้องโดยสารสะดวกสบาย อุปกรณ์ครบถ้วน และสมรรถนะเครื่องอันล้นเหลือ แต่สิ่งสำคัญลำดับต้นๆ ที่เปรียบดังตัวแปรชี้ชะตา คงหนีไม่พ้นความคุ้มค่าประหยัดเงินเมื่อครอบครองรถคันนั้น จะว่าไปแล้วระหว่างรถไฮบริด กับ รถดีเซล รถชนิดใดให้ได้ตามเราตั้งโจทย์มากกว่ากัน?

รถไฮบริด

ราคารถ = ตัวแปรที่คนส่วนใหญ่นึกถึงอันดับแรก

เราอยู่ในยุคที่รถยนต์เปรียบเสมือนปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตไปเสียแล้ว ทุกคนมองหารถหนึ่งคันที่สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ได้ครบถ้วน โดยหากเป็นคนสมัยก่อนย้อนไปราว 10-20 ปี แล้วเกิดอยากได้รถที่ประหยัดคุ้มค่าสุดๆ ล่ะก็ รถเครื่องดีเซลจะโผล่ขึ้นเป็นคำตอบแรกเสมอ แต่ยุคปัจจุบันคำตอบนั้นยังคงเป็นจริงเหมือนเดิมหรือเปล่า?

คำตอบคือไม่ใช่ทั้งหมด จริงอยู่ที่คนส่วนใหญ่มองว่ารถกระบะเครื่องดีเซลวิ่งกินน้ำมันน้อย แต่ถ้ามองดูดีๆ แล้วรถดีเซลราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ที่ประหยัดน้ำมันจริงๆ มักเป็นรถกระบะตัวเตี้ย ที่เผาน้ำมันเฉลี่ย 13-15 กม./ลิตร สวนทางกับความนิยมรถกระบะของคนในประเทศ ที่จำนวนมากซื้อหารถกระบะ 4 ประตูยกสูง บ้างก็ขับสี่มาใช้งานอยู่ทุกวัน

Review Ford Everest 2018
รถไฮบริด

นั่นหมายความว่าราคารถกระบะ 4 ประตูขับสี่ ไซส์ขนาดเครื่องดีเซลตั้งแต่ 1.9-2.8 ลิตร จะอยู่ระหว่าง 8xx,xxx-1,1xx,xxx บาท เบียดกระทบไหล่รถซีดานกลาง ครอสโอเวอร์ และเอสยูวีตัวเริ่มต้นชนิดแถบจะชนกัน หรือจะขยับไปดูซีดานกลางไฮบริด เทียบกับพีพีวีคันโตเครื่องดีเซล ที่มีราคาระดับ 1.6-1.8 ล้านเป็นต้นไปก็ยังได้ ซึ่งในบทความนี้เราจะเทียบรถไฮบริดกับรถดีเซล ที่มีราคาใกล้เคียงกันเท่านั้น ไม่ได้นำรถดีเซลยุโรปราคาเกิน 2 ล้านมาร่วมด้วย

รถไฮบริด VS รถดีเซล มีค่าน้ำมันต่างกันพอสมควร

สอดคล้องกับทัศนคติการเลือกรถของคนไทย ที่พิจารณาราคากับสิ่งที่ได้มาเป็นอันดับแรก เรียกว่า จ่ายล้านต้นได้รถใหญ่กว่านี่สิถึงจะเรียกว่าประหยัดคุ้มค่า… ทั้งที่ความจริงแล้วผลต่อเนื่องอย่าง ค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษา เบี้ยประกันภัย และภาษี เหล่านี้ผู้บริโภคหลายคนไม่ได้นึกถึงเสียด้วยซ้ำ

เริ่มกันด้วยภาพจำที่อยู่ในสมองคนส่วนใหญ่ว่ารถดีเซลประหยัดน้ำมัน เริ่มเลือนหายไปในเวลาไม่ถึงสิบปี เนื่องจากมาตรฐานการทดสอบจากบรรดาสื่อต่างๆ แสดงให้เห็นว่ารถกระบะ รถพีพีวี ที่ใช้ขุมพลังดีเซลยุคใหม่ บริโภคน้ำมันเฉลี่ย 10-15 กม./ลิตร เมื่อขับเดินทางไกล ต่างกันชัดเจนเมื่อเทียบกับบรรดารถไฮบริด ที่ทำตัวเลขเฉลี่ยได้เกิน 18 กม./ลิตร เมื่อขับบนเงื่อนไขเดียวกัน

รถไฮบริด

นอกจากนี้ รถไฮบริดทุกคันยังคงประสิทธิการประหยัดน้ำมันสูงสุด เมื่อวิ่งในเมืองอันมีการจราจรหนาแน่น คือทำอัตราสิ้นเปลืองได้เฉลี่ย 10-14 กม./ลิตร ขึ้นอยู่กับนิสัยการขับขี่และปริมาณรถบนถนน โดยถ้าเทียบกับรถกระบะดีเซล หรือรถพีพีวีราคาใกล้เคียงกัน รถตัวเท่ทั้งหลายจะกินหนักจนหล่นไปอยู่ที่เลขตัวเดียว ราว 6-9 กม./ลิตร 

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นเราจะมาคำนวนค่าใช้จ่ายเป็น บาท/กม. เทียบระหว่างรถทั้งสองขุมพลัง ยกตัวอย่างแรกด้วยรถไฮบริดที่กินน้ำมัน 18 กม./ลิตร ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ลิตรละ 28.55 บาท ภายใต้การวิ่งระยะทาง 100 กม. ต้องจ่ายเงินทั้งสิ้น 158 บาท คิดเป็น 1.58 บาท/กม. ทีนี้หากนำมาใช้งานในเมืองจะกินหนักขึ้นมาที่ 12 กม./ลิตร สมมติว่าวิ่งไปกลับบ้านที่ทำงาน 50 กม. คุณจะต้องจ่ายเงิน 118 บาท คิดเป็น 2.37 บาท/กม.

Test Drive Chevrolet Colorado Storm

ต่อด้วยสมมติฐานหากคุณใช้รถกระบะ 4 ประตู วิ่งนอกเมืองกินน้ำมัน 14 กม./ลิตร ใช้น้ำมันดีเซล ลิตรละ 28.79 บาท วิ่งด้วยระยะทาง 100 กม. ต้องจ่ายเงิน 205 บาท คิดเป็น 2.05 บาท/กม. สำหรับการวิ่งในเมืองจะลงมาอยู่ที่ 8 กม./ลิตร แล้วขับรถไปกลับบ้านที่ทำงาน 50 กม. ทำให้เสียเงิน 179 บาท คิดเป็น 3.59 บาท/กม.

รถไฮบริด

เมื่อนำทั้งสองสมมติฐานมาเปรียบเทียบกัน การขับรถไฮบริดเดินทางไกลจจะประหยัดกว่ารถกระบะ 4 ประตู อยู่ 47 บาททุกๆ 100 กิโลเมตร กรณีวิ่งในเมืองเป็นหลักจะยิ่งเห็นความต่าง เพราะทุก 50 กม. ที่ขับรถไปทำงานทุกวัน รถไฮบริดช่วยเชฟเงินได้ 61 บาท หากเทียบรถกระบะดีเซล ซึ่งถ้าขับรถไปทำงาน 20 วันภายในหนึ่งเดือน ส่วนต่างค่าน้ำมันจะสูงถึง 1,220 บาท ปีหนึ่งคนที่ใช้รถไฮบริดจ่ายเงินน้อยกว่าคนขับกระบะ 4 ประตู ถึง 14,640 บาท

วิธีเช็ครถ

ค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของ… ไฮบริดกับดีเซลอย่างไหนจ่ายหนักกว่ากัน?

สิ่งที่คนกลัวรถไฮบริดหนีไม่พ้นภาพจำฝังหัวเรื่องระบบขับเคลื่อน อันมีอุปกรณ์มากมายหลายสิ่ง อาทิ ชุดหน่วยควบคุมไฮบริด มอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี เห็นได้จากเวลาที่มีรถไฮบริดเปิดตัวใหม่ทีไร คำถามจะมีมาในแนวๆ ว่า ระบบของรถคันนี้ทนไหมครับ ค่าแบตฯ ค่าซ่อมแพงไหม บางทีก็เอาไปเทียบกับรถเครื่องสันดาปประมาณว่า ราคาขายต่อรถไฮบริดตกฮวบ ใช้ระยะยาวต้องจ่ายเงินซ่อมเท่าไหร่ไม่รู้ เหล่านี้มันเป็นความจริง หรือแค่มายาคติกันแน่?

ก่อนอื่นเลยต้องทำความเข้าใจก่อนว่า รถไฮบริดยุคใหม่โดยเฉพาะจากค่ายญี่ปุ่น ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้า ชุดอุปกรณ์ควบคุมกลาง (PCU) และแบตเตอรี ได้ถูกพัฒนามาต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสิบปี จึงทำให้การใช้งานมีเสถียรภาพไม่เสียง่ายเหมือนที่คนคิดกัน

รถไฮบริด

ต่อมาประเด็นที่ว่าราคาอะไหล่อุปกรณ์ในระบบไฮบริดมีราคาสูง ทำให้การใช้งานในระยะยาวต้องจ่ายแพงกว่าคนที่ใช้รถดีเซลนั้น ข้อนี้อยากให้ผู้อ่านมองดังนี้ จริงอยู่ที่รถไฮบริดสมัยก่อนมีราคาแบตเตอรีลูกหนึ่งเกินแสนบาท ทว่าปัจจุบันราคาลดลงเหลือต่ำกว่าแสนบาทแล้ว เนื่องด้วยปริมาณการผลิตและเทคโนโลยีที่ใช้ ยิ่งไปกว่านั้น ทางบริษัทรถยนต์ก็ออกนโยบายรับประกันแบตฯ อันเป็นส่วนที่เสื่อมประสิทธิภาพไวสุดนานถึง 10 ปี

สิ่งที่เราอยากจะสื่อ คือ กว่าที่แบตเตอรีบนรถไฮบริดของคุณจะเสื่อมจนต้องเปลี่ยน สมมติว่าวิ่งต่อปี 20,000 กิโลเมตร ใช้งานไป 7 ปี รถไฮบริดกินน้ำมันเฉลี่ยทั้งนอกเมืองในเมืองรวมกันตีไว้ 12 กม./ลิตร คุณได้จ่ายค่าน้ำมันไป 333,000 บาท กลับกันหากคุณใช้รถกระบะดีเซลในเวลาเท่ากัน กินน้ำมันเฉลี่ยด้วยเงื่อนไขเดียวกันราว 10 กม./ลิตร ต้องจ่ายเงินทั้งสิ้น 403,060 บาท ส่วนต่างมากถึง 70,000 บาท เลยทีเดียว มิหนำซ้ำการเปลี่ยนแบตฯ ในช่วงเวลา 10 ปี ก็ยังไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกด้วย

เลือกรถให้เหมาะสมกับการใช้งาน = คำตอบดีที่สุด

ทั้งหมดที่เราเขียนมาเนื้อหาค่อนข้างเชียร์รถไฮบริดว่าประหยัดคุ้มค่าที่สุด ซึ่งเรายกตัวอย่างให้คนที่อาศัยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ มีไลฟ์สไตล์ที่ต้องพึ่งพาการขับรถเข้ามาทำงานทุกวัน แน่นอนว่ารถไฮบริดจะเป็นคำตอบอันเหมาะสม กลับกันหากคุณรู้ตัวว่าอยู่ต่างจังหวัด จำเป็นต้องใช้รถกระบะเพื่อการขนสัมภาระ รถไฮบริดก็คงเป็นคำตอบที่ไม่ค่อยดีนัก

เราอยากบอกว่าความคุ้มค่าอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินราคารถ ค่าน้ำมัน หรือค่าบำรุงรักษาที่ต้องจ่าย หากแต่เป็นเรื่องที่ว่าแท้จริงแล้วคุณต้องการนำรถคันนั้นมาใช้งานแบบไหน ไม่ใช่ว่าอยู่ในเมืองเป็นหลักแต่ไปซื้อรถกระบะคันโต จากนั้นก็เริ่มบ่นว่าเงินไม่ค่อยมีในกระเป๋า แต่ตัวตอนเลือกรถเน้นความชอบเป็นหลัก อย่างนี้เราคงช่วยให้คุณประหยัดเงินไม่ได้

ทุกสิ่ง ทุกปัจจัย ต้องใช้ความรอบคอบประกอบกับเหตุผลในการพิจารณา เพราะในยุคที่เงินทองฝืดเคืองเช่นนี้ รถยนต์อาจมาลดเงินในกระเป๋าของคุณ แทนที่จะช่วยให้ชีวิตเดินทางราบรื่นสู่จุดหมายก็เป็นได้

ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่