ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นประเทศปลายทางของหลายคนไปแล้ว สำหรับประเทศญี่ปุ่นดินแดนซามูไรในอดีจที่วันนี้ทำให้หลายคนประทับใจ บางคนยังไม่เคยไป บ้างไปแล้วไปซ้ำอีกเรื่อยๆ เสน่ห์ของประเทศญี่ปุ่น มีเสน่ห์มากมาย ทั้งทางด้านความสะดวกสบายทันสมัย ความใกล้ชิดทางด้านวัฒนธรรม รวมถึงธรรมชาติที่แปลก แถมค่าเดินทางก็ไม่แพงนัก

การปเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นมีหลายวิธี ส่วนใหญ่คนจำนวนไม่น้อยชอบการเดินทางด้วยรถไฟ เนื่องจากสะดวกประหยัด และได้บรรยากาศในการท่องเที่ยว แต่หากคุณเป็นคนชอบรถยนต์ รักการขับรถ ..บางทีการเที่ยวญี่ปุ่นครั้งต่อไป คุณอาจจะลองเปลี่ยนแนวคิดหันไปขับกินชมวิว ณ แดน อาทิตย์อุทัยดูบ้างก็ได้

ท่ามกลางการเดินทางของผมไปญี่ปุ่นหลายรอบ ในฐานะคนชอบรถ และทำงานเรื่องรถเป็นทุนเดิม ผมรู้สึกว่าสักครั้งจะต้องไปขับรถในญี่ปุ่นให้ได้

แผนการเดินทางตั้งแต่เมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมาในระหว่างการไปงาน   Tokyo Motor Show  2017   จึงวางแผนกับแฟนว่า ทริปนี้เราจะเน้นการขับรถเที่ยวเป็นหลักส่วนหนึ่งด้วยความอยากปลีกวิเวกออกไปยังสถานที่ท่องเที่ยวตามต่างจังหวัดบ้าง จะเดินเล่นเฉพาะในเมืองก็ดูน่าเบื่อและจำเจเกินไป  การวางแผนเที่ยวครั้งมโหราฬจึงเริ่มต้นขึ้น ด้วยความอยากลองทำอะไรใหม่ๆ ดุบ้าง

วิธีของรถเช่าที่ญี่ปุ่น

แน่นอนหนทางที่ดีที่สุดคือการจองรถเช่าที่ญี่ปุ่น ก่อนการเดินทาง  ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารทำให้ง่ายขึ้นในการจองรถเช่าไว้ล่วงหน้าก่อนการเดินทางได้

ตามธรรมเนียมการจองบริการต่างๆ ที่ญี่ปุ่น คุณสามารถจองรถเช่า/ได้ก่อน 4 เดือนและสามารถยกเลิกได้ก่อน 7 วัน โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ กรณีที่ยกเลิกก่อนวันรับรถ 3-5 วัน ผู้จองอาจจะมีค่าปรับในการยกเลิกจอง ตรงนี้สมควรจะต้องศึกษารายละเอียดให้ถี่ถ้วนจากผู้ให้บริการแต่ละราย

ทีนี้คุณๆ อาจจะถามผมว่า แล้วจะเช่ารถกับใคร …

ตามปกติแล้วเราน่าจะคุ้นเคยกับเว้บเช่ารถระดับโลก พวก  AVIS, Heartz  อะไรพวกนี้ที่มีสาขาในไทย พวกเขาก็มีสาขาที่ประเทศญี่ปุ่นด้วยเช่นกันครับ แต่ผมอยากแนะนำว่า ให้เช่าโดยตรงกับบริษัทเช่ารถญี่ปุ่นดีกว่า ซึ่งบริษัทให้บริการเช่ารถที่ญี่ปุ่น มี 2 กลุ่มใหญ่ครับ คือ

1.บริษัทเช่ารถ ที่มาจากบริษัทรถยนต์ นึกไม่ออกก็คิดง่ายๆว่า เหมือน โตโยต้า – ฮอนด้า เอารถใหม่มาให้เช่าขับกันเลย รายใหญ่ในกลุ่มนี้จะเป็น   Nissan  และ  Toyota   มีรถให้เลือกทุกแบบตั้งแต่รถขนาดเล็ก 660 ซีซี หรือที่เรียกว่า   Kei Car   ไปจนถึงรถสปอร์ต ถ้ามีงบมากพออยากจะลองตามฝันดูก็เพียงเตรียมงบให้พร้อมแล้วไปลุยกันเลย

2.กลุ่มบริษัทเช่ารถอิสระ บริษัทเช่ารถอิสระพวกนี้เป็นกลุ่มที่หลายคนค่อนข้างนิยม เนื่องจากมีสาขามากมายหลายแห่ง และบางสาขาเปิดบริการตลอดคืนด้วยครับ บริษัทรถเช่าที่นิยม มี 2 เจ้าสำคัญ คือ  Nippon Car Rent  และ  Times Car Rent  พวกเขามีรถเช่าหลายประเภท แต่ไม่รวมถึงรถสปอร์ต

รวมถึงรถเช่ายังเป็นแนวสุ่มคละรุ่น คละยี่ห้อ แต่เป็นรถประเภทเดียวกัน ดังนั้นอย่าแปลกใจครับ ถ้าคุณเลือกรถเช่าในเนทแล้ววันไปถึงที่ญี่ปุ่นรับรถจริง อาจเป็นคนละรุ่นกันเลยกับที่บริษัทบอก พวกเขาแค่ให้คุณจองประเภทรถเท่านั้น ไม่ได้ล๊อครุ่นและยี่ห้อไว้ให้คุณครับ

 

เลือกรถเช่าให้เหมาะประหยัดงบใช้จ่าย

ที่นี้เมื่อได้บริษัทรถเช่าที่ถูกใจ ก็ได้เวลาตามหารถที่อยากจะขับกันสักที การเช่ารถสิ่งสำคัญที่อยากฝากกับทุกคนเลยคือการเลือกรถที่เหมาะสมกับเราเอง โดยเฉพาะในแง่สัมภาระ และจำนวนผู้ร่วมเดินทางกับคุณ

จงจำไว้ครับว่า รถเช่าเมื่อกดเลือกไปแล้วจะเปลี่ยนรุ่นรถได้เพียงการยกเลิกแล้วจองใหม่เท่านั้น ดังนั้นน่าจะดีกว่าที่คุณสมควรจะประเมินล่วงหน้าว่า จะมีสัมภาระมากแค่ไหนกัน  สำหรับผมมีสูตรคำนวณง่ายๆ โดยให้ผู้โดยสารถือกระเป๋าสัมภาระคนละใบ (ขนาดไม่เกิน 26 นิ้ว)  เท่ากับว่ารถที่คุณเช่าจะต้องรองรับกระเป๋าเดินทางได้ 4 ใบ สำหรับผู้โดยสารสี่คน แต่หากเพื่อนคุณเป็นพวกบ้าหอบฟาง อาจจะลองคำนวณเป็นกระเป๋า 2 ใบ  

รู้ตัวเลขคร่าวๆ แล้วก็ได้เวลาไปดูรถ ส่วนใหญ่แล้วรถเช่าจะเริ่มต้นที่ขนาดเครื่องยนต์ 660 ซีซี ค่าเช่าไม่แพงมากมายนัก แต่มันเหมาะเพียงสำหรับการเดินทาง 2-3 คน พร้อมสัมภาระเท่านั้น

ถ้าคุณมีเพื่อนไปมากกว่านี้ ผมแนะนำว่าให้คุณเช่ารถที่มีขนาดใหญ่ขึ้นขนาดพวก  Toyota Axio (Altis  บ้านเรา) จะนั่งสบายเก็บของครบมากกว่า ในบางบริษัทรถกลุ่มนี้อาจจะเป็น   Toyota Sienta   ซึ่งถ้าคุณรู้สึกว่าอย่างไรก็ไม่น่าจะพอแน่ ลองจองคลาสที่มีรถรุ่นนี้แล้ว อีเมล์ไปขอเป็นการพิเศษก็น่าจะเป็นทางออกที่ดี

แนวทางการรับและคืนรถ

ในตอนจองรถ นอกจากคุณจะต้องเลือกรถ และวันรับรถแล้ว เรื่องที่ควรตระหนักและน่าจะสมควรวางแผนให้ดีในระหว่างการเดินทาง คือการรับและคืนรถเช่า ของเราด้วย

การรับและคืนรถเช่าที่ประเทศญี่ปุ่นแตกต่างจากไทย คุณสามารถเลือกรับรถและคืนที่เดิมแบบนี้หลายคนน่าจะคุ้นเคยในไทย หรือจะเลือกรับรถที่หนึ่งแล้วไปคืนยังจุดคืนรถเช่าอีกทีหนึ่งก็ได้

ยกตัวอย่างเช่น ผมกับเดือนบินลงที่สนามบินนาริตะ แล้วจะเดินทางไปเที่ยวรอบๆก่อนเข้าโตเกียว ผมจึงเลือกเช่ารถที่นาริตะแล้วคืนรถที่จุดรับรถที่ใกล้ที่สุดกับที่พักในมหานครโตเกียว

การเลือกคืนรถแบบที่ผมทำ มีข้อดีตรงที่เราสะดวกในการเดินทางมากขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องกลับมาตั้งต้นที่สนามบินใหม่ สามารถไปต่อตามที่คุรต้องการได้ทันที ความสะดวกสบายแบบนี้ก็เป็นธรรมดาที่ย่อมจะต้องมีข้อแลกเปลี่ยน โดยมากจะมีค่าธรรมเนียมที่เรียกว่า  One Way Fee เรียกเก็บจากคุณ ประมาณ 3,000-4,000 เยน คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณว่า 900-1000 กว่าบาท

ผมว่ามันคุ้มค่านะ เพราะเราสะดวกในการเดินทางมากขึ้น ไม่ต้องมานั่งเสียเวลาและค่าเดินทาง 2 ทอด ยิ่งใครเดินทาง 3-4 คน น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการมาจุงกระเป๋าเดินทางไปสถานีรถไฟเสียอีก

การขับรถที่ญี่ปุ่น

และแล้ว ในที่สุดความสนุกหรรษาก็เริ่มต้นขึ้น ก่อนที่คุณจะไปขับรถที่ญี่ปุ่น ก็สมควรจะเรียนรู้ระเบียบเบื้องต้นการขับรถที่ประเทศญี่ปุ่นสักหน่อย

การเติมน้ำมัน

อันดับแรกเรื่องสำคัญเลยคือการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงที่ประเทศญี่ปุ่น บ้านเขาไม่วุ่นวายมีแก๊สโซฮอลหลายส่วนผสมให้ขยิกหัวเล่านยามพบเด็กปั้ม

ที่ประเทศญี่ปุ่นมีน้ำมันเพียง 3 ชนิดเท่านั้น คือ  พรีเมี่ยม (เทียบเท่าเบนซิน 95) ,Regular  (เทียบเท่า 91)  และดีเซล เท่านั้น โดยมากรถส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่รถสปอร์ต หรือได้รับคำแนะนำจากผู้ให้บริการเช่ารถ คุณสามารถเติมน้ำมัน   Regular   ได้ทันที

วิธีการเติมน้ำมันที่ญี่ปุ่นก็มีวิธีปฏิบัติจากไทยเล็กน้อย เมื่อคุณขับรถเข้าแท่นหัวจ่าย พนักงานจะมาให้การต้อนรับ

คำถามแรกจะเติมเท่าไร ผมแนะนำว่า ง่ายที่สุดคือคุณบอกเขาเติมเต็มถัง เราเพียงบอกชื่อน้ำมันที่เราจะเติม พร้อมคำว่า   Full เช่นเจ้า Daihatsu   คันนี้ เติมน้ำมัน Regular   ก็บอกเขาว่า   Regular  Full   เป็นต้น

จากนั้นคำถามที่ 2 จำตามมา บางปั้มและส่วนใหญ่เขาจะไม่พูดภาษาอังกฤษกับคุณ คำถามนี้เป็นการถามวิธีการชำระเงิน ซึ่งก็มีเพียงเงินสดกับบัตรเครดิตเท่านั้น  ในกรณีบัตรเครดิต ทางปั้มจะรับบัตรเราไปก่อน แล้วเมื่อเติมเสร็จจะนำสลิปมาให้เราเซ็นกำกับ ลดการเสียเวลาในการยื่นบัตรไปรูดอีกหน จนผมรู้สึกว่า วิธีการปั้มที่นี่ค่อนข้างดี

สำหรับใครที่ขับรถเที่ยวจนค่ำมืดแล้วน้ำมันใกล้หมด ก็ควรจะตระหนักว่า ปั้มที่ญี่ปุ่นปิด 3 ทุ่มโดยส่วนใหญ่ แต่ถ้าใครเดินทางบนทางด่วน เหมือนจะเปิดตลอดเวลา

 

กฎจราจรที่สมควรรู้

จะขับรถถ้าไม่อยากให้ใบสั่งตามมาที่ประเทศไทย หรือโดนจับที่ญี่ปุ่น สมควรจะทราบเรื่องกฏจราจรพื้นฐานที่ประเทศญี่ปุ่น  กันสักหน่อยนะครับ

1.ความเร็วตามกฎหมายกำหนด

ความเร็วตามกฎหมายกำหนดในญี่ปุ่น กำหนดการขับที่ความเร็ว 50 ในเขตเมือง และ 80 ในเขตถนนนอกเมือง หรือตามต่างจังหวัด ส่วนบนทางด่วนปัจจุบันสามารถขับได้ความเร็วไม่เกิน 120 ก.ม./ช.ม. เว้นแต่จะมีสัญญาณไฟที่ป้ายจำกัดความเร็วหมายถึงควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งคัดในการขับขี่

ตลอดช่วงเวลาที่ผมขับรถที่ญี่ปุ่น สังเกตว่าคนญี่ปุ่นก็คล้ายคนไทย ไม่ได้ขับรถตามกฎมากมายนัก จะมีเพียงรถคนแก่ขับ ที่จะขับรถตามความเร็วที่บอกในข้างต้นอย่างเคร่งครัด 

หลายคนพอไปขับคงรู้สึกว่าบ้านเขาดูเฮี้ยบขับไปเกร็งไป ผมอยากบอกว่าทำตัวให้สบายที่สุดครับ ขับให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด จากที่ผมศึกษารายละเอียดจากการสอบถามคนไทยที่ประเทศญี่ปุ่น และคนที่บินไปประเทศญี่ปุ่นบ่อยๆ การรักษากฎหมายความเร็วที่ญี่ปุ่น ทำโดย 2 วิธี 1.ตรวจด้วยกล้องอัตโนมัติวงจรปิด อันนี้คล้ายๆ ในบ้านเรา 2.แบบสุ่มตรวจ โดยอาจจะแอบยิงความเร็วคุณแล้วขับรถตามมา

วิธีนี้ โดยมากจะเป็นการประสานงานระหว่างส่วนกลางกับตำรวจในพื้นที่ โดยมากจะเป็นในทางด่วน ถ้าคุณขับมาเกินตามที่เขากำหนด ประมาณ 130 ก.ม./ช.ม ขึ้นไป จะมีรถสายสืบมาขับตามคุณสักพัก ถ้ายังขับเร็วพวกเขาจะแสดงตัวอัญเชิญคุณเข้าข้างทาง ที่สำคัญรถสายสืบที่ญี่ปุ่นไม่ติดทะเบียนและโลโก้ตำรวจ ใช้ความเร็วนานๆ ก็ส่องกระจกหลังดีๆ  

 

2.การจอดรถ

บ้านเราชอบจอดรถกันตามใจฉัน ถ้าคุณทำนิสัยนี้ที่ประเทศไทย ต้องระวังการโดนจับปรับที่ประเทศญี่ปุ่นให้ดีเลยครับ

ที่ประเทศญี่ปุ่น เขามีกฎระเบียบเรื่องการจอดรถที่ค่อนข้างเข้มงวด ใช่ว่าคุณจะจอดรถตามใจฉันได้ จอดเดี๋ยวเดียวก็ไม่ได้  รับรองได้เสียเงินแน่นอน คุณควรมองหาที่จอดรถให้ดี แล้วจอดในที่ ที่เขาจัดให้จอดอย่างเคร่งครัด ซึ่งส่วนมากเป็นบริการจอดรถตู้อัตโนมัติ คุณเพียงเข้าไปจอดรถตามช่อง ดูหมายเลขช่อง แล้วมากดดูชำระเงินที่ตู้ ทางด้านหน้า มีการชำระตั้งแต่รายชั่วโมง ไปจนถึงรายละ 30 นาที

นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ค่าจอดรถที่ญี่ปุ่นแพงมาก ถ้าคุณจำเป็นต้องเดินทางด้วยรถ บางที สมควรจะดูที่พักที่มีที่จอดรถฟรีเอาไว้ด้วยครับ จะได้ประหยัดค่าใช้จ่าย

3.ขับช้าชิดซ้าย

ใครที่ชอบขับรถช้าชิดขวาเวลาไปที่ประเทศญี่ปุ่น  คุณจงเปลี่ยนพฤติกรรมทันทีเลยครับ ที่ญี่ปุ่นเรื่องการขบัช้าชิดซ้าย นอกจากจะเป็นระเบียบที่เคร่งครัดแล้ว ยังเป็นมารยาทบนถนนที่สำคัญด้วย ที่ญี่ปุ่นไม่มีการแช่ขวาให้เห็น ไม่ว่ารถคุณจะถูกจะแพง จะคันสิบยี่สิบล้าน เมื่อแซงทางขวา แล้วก็ต้องเช้าซ้ายเสมอ 

อย่าไปริทำตัวแบบไทยๆ ที่ญี่ปุ่นเลยครับ โดนจับขึ้นมาบอกว่าเป็นคนไทยอายเขา

การใช้บริการทางด่วน

เนื่องจากเราไม่ใช่เจ้าถิ่น ผมแนะนำว่าเป็นไปได้ควรใช้ท่างด่วนให้มากที่สุด ทางด่วนที่ญี่ปุ่นต่างจากไทยพอสมควร เนื่องจากสามารถใช้ความเร็วได้ถึง 120 ก.ม./ช.ม. และส่วนใหญ่เป็นเส้นทางเชิงตัดตรงวิ่งตรง ไปยังแต่ละเมืองในประเทศ

การใช้ทางด่วนที่ญี่ปุ่น ผมแนะนำให้ซื้อบริการบัตรผ่านอัตโนมัติ หรือบัตร  ETC  จากผู้ให้บริการรถเช่า บัตร ETC  คล้ายๆ กับ  Easy Pass   ต่างเพียงของเขาอ่านไวและรวดเร็วมากค่อนข้างสะดวกในการขับขี่พอสมควร

เมื่อเช่า   ETC  จากบริษัทรถเช่า คุณก็เพียงขับผ่านช่องทางที่เขียนว่า   ETC   ซึ่งเป็นช่องรับชำระเงินส่วนใหญ่บนทางด่วน โดยค่าทางด่วนทั้งหมดตลอดการเดินทางจะถูกรวมแล้วคิดค่าบริการภายหลังตอนที่คุณคืนรถกับทางบริษัทรถเช่า

วิธีนี้ค่อนข้างสะดวกดี และเป็นวิธีที่ผมแนะนำ แถมราคาก็ไม่แพงเพียงวันละ 320 เยนโดยประมาณ อาจจะแตกต่างกันบ้างตามแต่ละบริษัท

แต่กรณีที่คุณไม่ได้เช่า   ETC   ก็ไม่ต้องกังวลไป ทางด่วนทุกเส้นทางที่ไม่ใช่ทางด่วนท้องถิ่นจะรับชำระค่าทางด่วนด้วยบัตรเครดิต คุณเพียงยื่นบัตรให้เจ้าทีหน้าที่ไม่ต้องเซ็นสลิปก็ผ่านได้ทันที ง่ายๆ สบายๆ

นอกจากทางด่วนแล้ว เส้นทางพวกถนนวิ่งชมวิว อาทิ  Ashinoko Skyway   เป็นเส้นทางที่คุณต้องชำระเงินด้วยเงินสดเท่านั้น เป็นเหมือนค่าบำรุงทางประจำท้องถิ่น

 

มาถึงตรงนี้ผมเชื่อว่าหลายคนน่าจะพอได้ข้อมูลกับการขับรถเที่ยวญี่ปุ่นมากขึ้น สำหรับใครที่ยังไม่เคยลองขับรถเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นผมแนะนำว่าสมควรไปลองสักครั้ง การไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นด้วยการขับรถ นอกจากจะพาไปยังที่ใหม่ๆ ที่ไม่เคยไปแล้ว ยังได้ประสบการณ์ที่แตกต่างด้วยครับ

 
เรื่องโดย ณัฐยศ ชูบรรจง นักทดสอบรถยนต์ และ คอลัมนิสต์ เว็บไซต์   Ridebuster.com  ติดตามผลงานการเขียน และข้อมูลที่น่าสนใจได้ทาง  Facebook 

ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com



แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่