หนึ่งในช่องว่างทางการตลาดที่ห่างหายไปนานของ Honda คือการที่พวกเขาไม่มีรถแอดเวนเจอร์ไบค์ขนาดกลางตัวจริง มาทำตลาดให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ แต่ในที่สุด Honda XL750 Transalp ก็ได้ถูกเผยโฉมออกมา พร้อมกับรายละเอียดต่างๆที่เรียกได้ว่าน่าสนใจกันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

Honda XL750 มาพร้อมกับชื่อต่อท้าย ” Transalp ” ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ใช่รถมอเตอร์ไซค์ตระกูลใหม่จาก Honda แต่อย่างใด เพราะในความจริงแล้ว ทางค่ายเคยวางจำหน่ายรถมอเตอร์ไซค์ตระกูลนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อปี ค.ศ. 1986 ด้วยตัวรถที่มาพร้อมกับขุมกำลัง V-Twin 583cc และถูกพัฒนามาเรื่อยๆจนจู่ๆก็หายไปในปี 2014 เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว ตลาดรถมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่เริ่มซบเซา รวมถึงตัวรถเจเนอเรชันล่าสุดก็ลากขายมาตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งนานเกินไปแล้วที่จะทำตลาดต่อไป

อย่างไรก็ดี เนื่องจากในปัจจุบัน ตลาดรถมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มรถแอดเวนเจอร์ไบค์ กลับมียอดขายที่พุ่งพรวด และแพร่หลายเป็นอย่างมากอีกครั้ง จึงทำให้ชื่อของ Honda Transalp ได้กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ทางค่ายชิมลางตลาดรถมอเตอร์ไซค์แนวนี้ หรือแนวใกล้เคียงมาก่อนแล้วและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทั้งพี่ใหญ่ Honda Africa Twin และ Honda CB500X หรือแม้แต่จะนับรวม NC750X ด้วยก็ยังได้

โดยการกลับมาในครั้งนี้ของ Transalp หากเปรียบเทียบเพื่อให้ทุกท่านได้เห็นภาพมากขึ้น มันก็เปรียบเสมือนการเอารถมอเตอร์ไซค์ 3 รุ่นมารวมร่างไว้ด้วยกัน นั่นคือ Honda CB500X + Honda Africa Twin ผสมกับโครงสร้างพื้นฐานของ Honda Hornet 750 ที่ทางค่ายพึ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้

ดังนั้นหากมองด้วยสายตา เจ้าแอดเวนเจอร์ไบค์รุ่นใหม่คันนี้ ก็จะมาพร้อกับชุดไฟหน้า LED แบบเดียวกับ CB500X และลักษณะเส้นสาย กับทรวดทรงที่ไม่ต่างจากแอดเวนเจอร์ไบค์รุ่นเริ่มต้นของทางค่ายมากเท่าไหร่นัก แค่มีเส้นสายที่ดูเรียบง่ายและสะอาดกว่า

แต่เมื่อมองในภาพที่กว้างขึ้นอีกนิด เราก็จะพบว่าด้วยการใส่ชุดล้อซี่ลวด รัดด้วยยาง Metzeler Karoo Street หรือ Dunlop Mixtour (แล้วแต่ล็อต) ขนาด 90/90-21 กับ ขนาด 150/70-18 ตามลำดับหน้า-หลังจึงทำให้ตัวรถดูพร้อมลุยขึ้นมากในแบบเดียวกับพี่ใหญ่ Africa Twin รวมถึงงานออกแบบมือจับด้านท้าย และไฟท้าย LED ก็ด้วย

นอกจากชุดล้อที่เลือกใช้แบบซี่ลวด ตัวรถยังใช้ชุดเมนเฟรมโครงเหล็ก Steel Diamond แบบใหม่ ที่มีน้ำหนักเพียง 18.3 กิโลกรัม ซึ่งเบากว่ารุ่นน้องอย่าง CB500X ถึง 10% จับคู่กับซับเฟรมโครงเหล็กแบบแยกส่วนที่ถูกออกแบบให้มีความแข็งแรงทนทาน สามารถรับน้ำหนักบรรทุกแบบรถแอดเวนเจอร์ทัวร์ริ่งได้สบายๆมาให้ด้วย

ระบบกันสะเทือนของมัน ก็จัดให้ครบครันด้วยโช้กหน้าตะเกียบคู่หัวกลับ Showa SFF-CATM (Separate Function Fork-Cartridge) ขนาดแกน 43 มิลลิเมตร พร้อมช่วงยุบอีก 200 มิลลิเมตร ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับเซ็ทค่าพรีโหลดได้ แถมยังยึดเข้ากับชุดเฟรมด้วยแผงคอล่างงานอลูมิเนียมฟอร์จ และแผงคอบนงานอลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป เพื่อความแข็งแรงแต่น้ำหนักไม่มากจนเกินไป

ด้านโช้กหลังก็เป็นโช้กต้นเดี่ยว สามารถปรับเซ็ทค่าพรีโหลดด้วยเช่นกัน ด้วยมือปรับรีโมท และมีช่วงยุบที่ 190 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับกลไกกระเดื่องทดแรง Pro-Link และสวิงอาร์มอลูมิเนียมแขนคู่ ที่ถูกหล่อขึ้นในรูปแบบเดียวกันกับพี่ใหญ่ Africa Twin

ขณะที่ระบบเบรกทางด้านหน้า ก็เป็นแบบจานคู่ขอบหยัก ขนาด 310 มิลลิเมตร แต่ทำงานร่วมกับปั๊มโฟลทติ้งเมาท์ 2 พอท และระบบเบรกทางด้านหลัง ก็จะใช้จานเบรกเดี่ยวขอบหยัก ขนาด 256 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับปั๊มโฟลทติ้งเมาท์ 1 พอท

ฝั่งขุมกำลังของมัน ก็จะเป็นบล็อคที่ยกมาจาก Honda Hornet 750 อีกที ดังนั้นรายละเอียดของมันจึงมีอยู่ว่า มันคือ

  • เครื่องยนต์ 2 สูบเรียง ความจุ 755cc
  • ขนาดกระบอกสูบ x ช่วงชัก : 87 x 63.5 มิลลิเมตร
  • อัตราส่วนกำลังอัด 11.0 : 1
  • ลูกสูบเคลือบสาร Ni-SiC (Nickel-Silicon Carbide)  เพื่อลดแรงเสียดทาน เพิ่มความทนทาน และตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีขึ้น แบบเดียวกับ CRF450R และ CBR1000RR-R
  • ฝาสูบ 8 วาล์ว พร้อมกลไก Unicam แบบเดียวกับตัวแข่ง CRF450R และมีองศาการจุดระเบิดที่ 270 องศา
  • ใบวาล์วไอดีขนาด 35.5 มิลลิเมตร พร้อมระยะยกสูงสุด 9.3 มิลลิเมตร
  • ใบวาล์วไอดีขนาด 29 มิลลิเมตร พร้อมระยะยกสูงสุด 8.2 มิลลิเมตร
  • เรือนลิ้นเร่งไฟฟ้า ขนาด 46 มิลลิเมตร
  • กำลังสูงสุด 91.7 แรงม้า PS ที่ 9,500 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 75 นิวตันเมตร ที่ 7,250 รอบ/นาที
  • ระบบส่งกำลัง ชุดเกียร์ 6 สปีด ทำงานร่วมกับชุดกลไกสลิปเปอร์คลัทช์ พร้อมแผ่นคลัทช์ F.C.C Leaning Segment (FLS) ที่ช่วยลดการใช้แรงกดของสปริงลงได้มากถึง 30% เพื่อการกำคลัทช์ที่นุ่มนวลขึ้น และการขึ้น/ลงเกียร์ที่ง่ายดายยิ่งขึ้น
  • อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยตามเคลม 23 กิโลเมตร/ลิตร
  • ถังน้ำมันความจุ 16.9 ลิตร รองรับระยะทางการวิ่งไกลสุด 390 กิโลเมตร ต่อน้ำมันหนึ่งถัง

นอกจากความโดดเด่นในเรื่องเครื่องยนต์ อันที่จริงตัวรถรุ่นนี้ยังมาพร้อมกับลูกเล่นในส่วนระบบอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มเติมอีกด้วย เพราะเนื่องจากการใช้ระบบลิ้นเร่งและคันเร่งไฟฟ้า จึงทำให้มันมาพร้อมกับฟังก์ชันและความสามารถในการปรับโหมดการขับขี่

ซึ่งจะมีผลถึงระบบควบคุมเครื่องยนต์ยิบย่อยหลายรายการด้วยกัน ทั้ง Engine Power (EP) 4 ระดับ, Engine Brake (EB) 3 ระดับ, ABS 2 ระดับ + ปิดได้, Honda Selectable Torque Control (HSTC) 5 ระดับ + ปิดได้ และสุดท้ายคือระบบ Wheelie Control ที่จะทำงานร่วมตามระดับของระบบ HSTC

ส่วนรายละเอียดระบบการขับขี่ต่างๆ ก็จะประกกอบไปด้วย

Riding ModeEPABSEBHSTC
SPORT4211
STANDARD3223
RAIN 1225
GRAVEL 2134
USER (ปรับเองได้แล้วแต่ชอบทุกค่า)1-41-2*1-31-5

*สามารถปิดการทำงานระบบ ABS ที่ล้อหลังได้

โดยการทำงานของระบบต่างๆ จะถูกแสดงผลบนหน้าจอมาตรวัดแบบ Full-Digital TFT ขนาด 5 นิ้ว ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับรูปแบบการแสดงผลได้อย่างหลากหลาย ทั้งการแสดงผลเลขความเร็วหรือเลขรอบเครื่องยนต์ 4 รูปแบบ, แถบวัดรอบ 4 รูปแบบ รวมถึงการแสดงผลระดับน้ำมันเชื้อเพลิง, โหมดการขับขี่, สถานะเครื่องยนต์, ระดับเกียร์, ชิฟท์ไลท์, และยังสามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านระบบ Honda Smartphone Voice Control ได้อีกเช่นกัน

ปิดท้ายด้วยข้อมูลมิติตัวรถ

  • ด้านกว้าง : 2,325 มิลลิเมตร
  • ด้านยาว : 838 มิลลิเมตร
  • ด้านสูง : 1,450 มิลลิเมตร
  • ระยะฐานล้อ : 1,560 มิลลิเมตร
  • องศาแผงคอ : 27 องศา
  • ระยะเทรล : 111 มิลลิเมตร
  • ความสูงเบาะ : 850 มิลลิเมตร
  • ความสูงใต้ท้องรถ : 210 มิลลิเมตร
  • น้ำหนักตัวรถเมื่อรวมของเหลว : 208 กิโลกรัม
  • รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด : 2.6 เมตร

โดยตัวรถ Honda XL750 Transalp ได้รับการระบุว่าจะเป็นหนึ่งในรถมอเตอร์ไซค์ที่จะถูกนำมาเปิดตัวและวางจำหน่ายในบ้านเราเร็วๆนี้ ซึ่งช่วงเวลาที่เร็วที่สุด ก็คือภายในงาน Motor Expo 2022 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-12 ธันวาคม ที่จะถึงนี้นั่นเอง

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่