หลังจากที่มีการโชว์รถคันเป็นๆให้ชาวไทยได้เห็นถึง 2 รอบ และในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ก็มีคนพบเห็นร่างทดสอบของมันถูกนำมาวิ่งบนถนนอยู่บ่อยครั้ง ในที่สุด GMW Tank 500 ก็ถูกยืนยันสักที ว่ามันใกล้พร้อมแล้วที่จะถูกวางขายในไทยปีนี้

แล้ว GWM TANK 500 น่าสนใจยังไง ? ทำไมใครหลายๆคนถึงต้องจับตามอง

TANK 500 ถือเป็นรถเอสยูวีระดับ Luxury SUV หรือ รถอเนกประสงค์เน้นหรู เหนือกว่ารถ SUV/PPV ยอดนิยมสัญชาติญี่ปุ่นหลายๆแบรนด์ในบ้านเราขึ้นไปอีกขั้น

ด้วยขนาดตัวถังด้านยาว 4,878 มิลลิเมตร, ด้านกว้าง 1,934 มิลลิเมตร และด้านสูง 1,905 มิลลิเมตร กับระยะฐานล้อยาว 2,850 มิลลิเมตร ความกว้างฐานล้ออีก 1,635 มิลลิเมตร ทั้งล้อคู่หน้ากับล้อคู่หลัง ตามด้วยความสูงใต้ท้องรถอีก 224 มิลลิเมตร แถมยังมีมุมปะทะ-มุมจากที่ 29.6 กับ 24 องศา ตามลำดับ และปิดท้ายด้วยความจุถังน้ำมันที่มากถึง 80 ลิตร

ซึ่งจะเห็นได้ว่าตัวเลขทุกสัดส่วนนั้น มีความใหญ่โตกว่ารถ SUV/PPV ที่เรารู้จักกันดีไปพอสมควร จะมีก็แค่เพียง Ford Everest เท่านั้น ที่เกือบจะใกล้เคียงกัน แต่ภาพรวมเจ้า Tank 500 ก็ยังกว้างกว่านิดหน่อย และสูงกว่าพอประมาณอยู่ดี

นอกจากนี้ ในส่วนงานออกแบบดีไซน์ภายนอกเอง เรายังจะสัมผัสได้ถึงความหรูหรา โออ่าที่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทั้งจากชุดกระจังหน้าโครเมียมขนาดใหญ่โต ไฟหน้า LED-Projector ชิ้นเขื่อง ฝากระโปรงและแก้มข้างที่ดูเป็นเหลี่ยมสัน บึกบึนชัดเจน

ชุดล้อเองก็ยังให้ขนาดใหญ่ถึงขอบ 20 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 265/50 R20 มีบันใดข้างแบบพับไฟฟ้า และด้านหลังนอกจากประตูท้ายบานใหญ่แบบเปิดบานออกด้านข้างแล้ว ยังมีการติดตั้งล้ออะไหล่ไว้ในตำแหน่งฝาท้ายตรงนี้อีก ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกได้เป็นอย่างดี ว่าตัวรถรุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อจับตลาดลูกค้าที่ชอบความหรูหราตามฉบับรถอเนกประสงค์มากเพียงไหน

ในส่วนขุมกำลัง สำหรับตัวรถที่จะถูกนำมาวางจำหน่ายในประเทศไทยของเรา ก็ได้รับการยืนยันไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า มันจะใช้ขุมกำลังแบบ HEV หรือ Hybrid Electric Vehicle ซึ่งเป็นการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซินขนาดความจุ 2.0 ลิตร เทอร์โบ ที่ผสานการทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า แล้วให้กำลังรวมกันสูงสุด 245 แรงม้า PS กับแรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร (ซึ่งเรียนตามตรงว่าในส่วนแรงบิดนั้นดูแล้วรู้สึกจะน้อยไปหน่อย เมื่อเทียบกับขนาดตัวรถที่ค่อนข้างใหญ่โตเอาเรื่อง)

ในส่วนระบบส่งกำลังจะยังคงเป็นระบบเกียร์อัตโนมัติ 9H AT ทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ ที่มีฟังก์ชันระบบการจดจำและแปรผันโหมดขับขี่อัตโนมัติตามสภาพพื้นถนน และยังสามารถเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้ด้วยคำสั่งเสียง ซึ่งล้วนเป็นออพชันเดียวกันกับตัวรถที่ใช้เครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร Mild Hybrid ที่วางจำหน่ายในประเทศจีนมาก่อนหน้านี้

และถึงแม้ตัวรถรุ่นนี้ จะถูกสร้างขึ้นในลักษณะของรถยนต์ที่มีตัวถังแบบ Body on Frame เพื่อความแข็งแกร่งและทนทาน แต่เพื่อความสะดวกสบายในการใช้งานไปพร้อมๆกัน ระบบกันสะเทือนของมันจึงเป็นแบบอิสระทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ช่วงล่างดับเบิลวิชโบนทางด้านหน้า และมัลติลิงค์ทางด้านหลัง ส่วนระบบเบรกเองก็มั่นใจด้วยระบบดิสก์เบรกทั้งสี่ล้อ เรียกได้ว่าจัดเต็มเท่าที่รถยนต์อเนกประสงค์จะให้ได้ โดยไม่สูญเสียเรื่องความทนทานมากเกินไป

ฝั่งงานออกแบบภายในตัวรถเอง ก็เน้นความหรูหราอย่างเต็มเปี่ยม ด้วยเบาะนั่งหุ้มหนังแนปป้า พร้อมระบบนวด และการปักลวดลายอย่างดี ชุดคอนโซลกลางเน้นคุมโทนเนี๊ยบ ด้วยขอบชิ้นงานผิวอลูมิเนียม และแผงลายไม้ หัวเกียร์แบบมีก้อนคริสตัลวิบวับสะดุดตา

พร้อมกันนี้ยังมี จอมาตรวัดดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว สีสันคมชัด และจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 14.6 นิ้วตรงกลาง แล้วยังมีระบบแอร์รอบทิศทาง สำหรับผู้โดยสารทั้ง 3 แถว โดยที่ระบบแอร์สำหรับผู้นั่งในแถวสองยังเป็นแบบแยกฝั่ง ตามด้วยหลังคาแก้วขนาดใหญ่ เพื่อความโปร่งโล่งสบายในการนั่งโดยสารเข้ามาให้อีก

และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ก็คือ ในส่วนระบบความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ที่จัดมาให้อย่างครบครัน ทั้งระบบ Electronic stability program, Brake assist system (BAS), Traction control system (TCS), Roll movement intervention (RMI), Hill-start assist control (HAC), Hill descent control (HDC), Auto hold, Secondary collision mitigation (SCM), Overspeed alarm, Front parking sensor, Reverse sensor, Front-view driving recorder, 360° full-view driving recorder, Interior driving recorder, Front collision warning (FCW), Rear collision warning (RCW), Adaptive cruise control (ACC), Automatic emergency braking (AEB) (identification of pedestrians), Blind spot detection (BSD)+Lane change assist (LCA), Door open warning (DOW) และอื่นๆอีกมากมาย

ทั้งนี้ แม้ทาง GWM จะยังไม่ได้มีการเปิดเผยในเรื่องของราคาสำหรับการวางจำหน่ายมันในประเทศไทยออกมา แต่ทางผู้บริหารก็ให้การยืนยันว่า แม้ตัวรถรุ่นนี้จะมีภาพลักษณ์ที่หรูหรามากๆในประเทศจีน แต่พวกเขาก็ไม่อยากให้มันดูหรูจนเอื้อมถึงได้ยากขนาดนั้นสำหรับลูกค้าชาวไทย

ดังนั้นทางผู้บริหาร จึงให้คำนิยามว่า มันคือรถอเนกประสงค์แบบ “Big Man Toy : Premium Off-Road” ซึ่งในขณะที่ลูกค้าสามารถอิ่มเอมไปกับความหรูหรา แต่ก็ยังสามารถพามันไปเดินทางตามทางธุรกันดารได้อยู่บ้าง และเราก็มองว่ามันอาจมีราคานี่น่าสนใจไม่แพ้รถ PPV/SUV รุ่นยอดนิยมที่ขายในไทยอยู่แล้ว ณ ตอนนี้เลยทีเดียว

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่