Ducati Diavel ถือเป็นรถมอเตอร์ไซค์แนวเพาเวอร์ครุยเซอร์ที่ได้ชื่อว่ามีเทคโนโลยีใกล้เคียงรถซุปเปอร์ไบค์มากที่สุดรุ่นหนึ่งของโลก ดังนั้นในปี 2023 มันจึงได้รับการปรับโฉมครั้งใหญ่อีกครา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเปลี่ยนไปใช้หัวใจแบบ V4

Ducati Diavel V4 ถูกเปิดตัวเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยนิยาม “Dare to be Bold” หรือ “กล้าที่จะกล้า” และโดดเด่นด้วยเส้นสายตัวรถรอบคันซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากทั้ง รถมัสเซิลคาร์, ซุปเปอร์ฮีโร่สุดแข็งแกร่ง, และนักวิ่งที่อยู่ในท่าเตรียมออกตัว

นั่นจึงทำให้เจ้าเพาเวอร์ครุยเซอร์คันนี้ มาพร้อมกับเส้นสายที่ดูบึกบึน ตั้งแต่ไฟหน้า LED ที่มีแถบไฟ DRL แบบ Double-C ขนาบข้าง, ชิ้นงานบังลมเหนือไฟหน้า ซึ่งจะเชื่อมเส้นสายเป็นแนวเดียวกันไปกับถังน้ำมันความจุ 20 ลิตร และยังมีการเปิดท่อแรมแอร์ขนาดใหญ่เอาไว้ที่ด้านข้างชุดเฟรมแบบใหม่ ซึ่งออกแบบให้เข้ากันดีกับชิ้นแฟริ่งกาบข้างกับอกล่าง ที่เมื่อมองในภาพรวมแล้วเราจะเห็นได้เลยว่ารถดูเต็มไปด้วยความเป็นมัดกล้ามชัดเจนในทุกสัดส่วน

สิ่งที่เป็นจุดไม่แพ้กันครึ่งหน้าของตัวรถ ก็คือชุดไฟท้ายใหม่ ที่เปลี่ยนจากแบบเส้นแถบ LED มาเป็นแบบดวงไฟ Matrix คล้ายรังผึ้ง และยังมีการเสริมความแตกต่างให้กับตัวรถเข้าไปอีก 2 จุด นั่นคือ ชุดท่อไอเสียแบบออก 4 รู เหมือนปืนแกทลิ่ง

กับการติดตั้งไฟเลี้ยวเอาไว้ที่แฮนด์บาร์ บริเวณด้านหน้าปั๊มเบรกกับหน้าปั๊มคลัทช์ ซึ่งเราต้องมารอดูกันอีกทีว่าตัวรถที่ขายไทย จะได้รถที่มาพร้อมกับการติดตั้งไฟเลี้ยวตำแหน่งนี้ด้วยหรือไม่ ? (อาจมีการเปลี่ยนได้ตามข้อบังคับทางกฏหมายของแต่ละประเทศ)

และหากลองสังเกตกันให้ดี เราก็จะพบว่าระยะแฮนด์บาร์ของมันนั้นเขยิบเข้ามาหาแนวผู้ขี่มากขึ้น ซึ่งทาง Ducati ก็ระบุว่ามันเขยิบเข้ามาถึง 20 มิลลิเมตร เมื่อประกอบกับเบาะนั่งที่สูงเพียง 790 มิลลิเมตร กับพักเท้า ที่จัดอยู่ในตำแหน่ง Center Control จึงทำให้การจัดท่าทางเพื่อควบคุมตัวรถสามารถทำได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ขี่ตัวเล็ก)

อีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของเจ้ารถคันนี้ ก็แน่นอนว่าย่อมเป็นหัวใจของมัน ที่ถูกเปลี่ยนใหม่จากบล็อค L-Twin Testastretta DVT 1,262cc เป็นบล็อค V4 Granturismo ลูกเดียวกับ Multistrada V4 ซึ่งอันที่จริง ดั้งเดิมเป็นเครื่องยนต์ที่ถูกดัดแปลงมาจากขุมกำลัง Desmosedici Stradale ของรถซุปเปอร์ไบค์อย่าง Panigale V4 อีกที

ดังนั้น แม้เครื่องยนต์ V4 Grandturismo จะถูกถอดกลไกวาล์วอันเป็นเอกลักษณ์อย่าง Desmodromic Valve ทิ้งไป แต่ด้วยพื้นฐานเครื่องยนต์ และการขยายขนาดลูกสูบให้ใหญ่ขึ้น จนความจุเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นจาก 1,103cc เป็น 1,158cc และยังมีการปรับจูนชิ้นส่วนต่างๆภายในใหม่ให้เข้ากับลักษณะการใช้งานแบบรถเพาเวอร์ครุยเซอร์ จึงทำให้มันสามารถเรียกแรงม้าสูงสุดได้ 168 PS ที่ 10,750 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุดอีก 126 นิวตันเมตร ที่ 7,500 รอบ/นาที พร้อมส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด และใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยโซ่ขับไปยังชุดล้อหลัง

โดยหากเทียบกับรุ่นพี่อย่าง Diavel 1260 เครื่องยนต์ V4 ลูกนี้ ก็จะทำแรงบิดได้น้อยกว่าของรุ่นพี่อยู่ 3 นิวตันเมตร แต่มาในรอบเครื่องยนต์เดียวกัน ทว่าเนื่องจากเครื่องยนต์ของรุ่นพี่สามารถเรียกกำลังสูงสุดได้ 159 PS ที่ 9,500 รอบ/นาที นั่นจึงหมายความว่ารุ่นน้องตัวใหม่ล่าสุดคันนี้ มีแรงม้าที่มากกว่ารุ่นพี่อยู่เกือบ 10 ตัว แถมยังมีย่านกำลังให้เรียกได้กว้างกว่ากันถึง 1,250 รอบ/นาที

เมื่อประกอบกันน้ำหนักส่วนเกินที่หายไป 13 กิโลกรัม เหลือ 223 กิโลกรัม (ระบุในข้อความจดหมายข่าวจากทาง Ducati) โดยแบ่งเป็นเครื่องยนต์ที่เบาลง 5 กิโลกรัม และน้ำหนักชิ้นส่วนอื่นๆของตัวรถอีก 8 กิโลกรัม โดยเฉพาะจากชุดเฟรมแบบใหม่ ที่เปลี่ยนจากโครงเหล็กถัก มาเป็นแบบอลูมิเนียมโมโนค็อกฟรอนท์เฟรม จึงทำให้มันสามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลาต่ำกว่า 3 วินาที ขณะที่ความเร็วสูงสุดไม่ได้มีการระบุเอาไว้ แต่มั่นใจได้ว่ามีทะลุ 270 กิโลเมตร/ชั่วโมง แน่นอน ถ้าคุณมั่นใจว่าตัวเองต้านลมปะทะไหว

ระบบกันสะเทือนของตัวรถรุ่นนี้ จัดเต็มด้วยการใช้โช้กหน้าตะเกียบคู่หัวกลับที่มีขนาดแกนใหญ่ถึง 50 มิลลิเมตร แถมยังสามารถปรับเซ็ทได้ทุกค่า ในขณะที่ตัวโช้กหลังเอง ก็จะเป็นโช้กแก๊สต้นเดียว มีกระปุกซับแทงค์แยก ที่จะสามารถปรับเซ็ทได้ทุกค่าเช่นกัน และทำงานร่วมกับสวิงอาร์มแขนเดี่ยวขนาดใหญ่

นอกจากนี้ ทาง Ducati ยังระบุอีกว่า เมื่อเทียบกับรุ่นพี่แล้ว โช้กหลังของมัน ได้ถูกเซ็ทอัพมาใหม่ ให้มีช่วงยุบที่มากขึ้นอีก 15 มิลลิเมตร ซึ่งนั่นก็เพื่อความนุ่มนวล และลดเสียงบ่นของคนซ้อนที่มักมีอาการก้นกระแทกบ่อยๆตอนผู้ขี่เผลอซัดรถไปเจอร่องหลุมต่างๆนั่นเอง

ขณะเดียวกัน ในฝั่งระบบเบรก ก็ยกชุดจาก Brembo ตั้งแต่การใช้จานเบรกคู่หน้าขนาดใหญ่ถึง 330 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับปั๊มเรเดียลเมาท์โมโนบล็อค 4 พอท Brembo Stylema โดยที่ปั๊มบนก็จะเป็นปั๊มเรเดียล Brembo PR16/19 ที่สามารถปรับได้ทั้งระยะก้านและความแข็งในการใช้แรงกด ส่วนระบบเบรกทางด้านหลัง ก็จะเป็นจานเบรกเดี่ยวขนาด 265 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับปั๊มแอกเซียลเมาท์ 2 พอท จาก Brembo เช่นกัน

และสุดท้ายในฝั่งระบบช่วงล่าง ก็คือชุดล้อ ที่เป็นแบบอัลลอยด์น้ำหนักเบา รัดด้วยยาง Pirelli Diablo Rosso III ขนาด 120/70-17 กับ 240/45-17 ตามลำดับ หน้า-หลัง ซึ่งแม้รถมีน้ำหนักมากถึงเกือบ 240 กิโลกรัมด้วยน้ำมันเต็มถัง แต่ด้วยขนาดยางและเบรกที่ใหญ่ กับจุดศูนย์ถ่วงรถที่ต่ำเช่นนี้ จึงทำให้มันสามารถเบรกด้วยอัตราการชะลอสูงสุด 11.5 m/s2 ซึ่งหนักหน่วงไม่แพ้รถซุปเปอร์ไบค์เลยทีเดียว

ฝั่งระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ให้มา ก็เรียกได้ว่าใส่ให้แบบล้นๆ ตั้งแต่ ชุดหน้าจอแสดงผลแบบ TFT Full Color ขนาด 5 นิ้ว มาพร้อมระบบ Ducati Multimedia System ซึ่งผู้ขี่สามารถควบระบบต่างๆภายในจอได้ ผ่านชุดประกับแบบมีแถบไฟเรืองแสง

ขณะที่ระบบความปลอดภัยและลูกเล่นในการใช้งาน ก็มีทั้งเซ็นเซอร์ IMU 6 ทิศทาง, Power Mode, Cornering ABS EVO, Ducati Traction Control EVO 2, Ducati Wheelie Control EVO, Ducati Power Launch EVO, Ducati Quick Shift Up/Down EVO 2, Cruise Control, และยังมี Riding Mode ให้ปรับใช้งานอีก 4 รูปแบบ ได้แก่ Sport, Touring, Urban และ Wet

โดย Ducati Diavel V4 2023 ถูกประกาศราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในสหราชอาณาจักร ด้วยราคาเริ่มต้น 23,595 ปอนด์สเตอร์ลิง หรือราวๆ 1,030,000 บาท สำหรับตัวรถสีแดง และจะขยับขึ้นเป็น 23,895 ปอนด์สเตอร์ลิง หรือราวๆ 1,043,000 บาท สำหรับตัวรถสีดำ

ขณะที่การเปิดตัวในไทย คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุด ภายในช่วงต้นเดือนหน้า

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่