ในบ้านเรา ระบบขับเคลื่อน e-Power เพิ่งจะเปิดตัวทำตลาดในประเทศไทย เราเป็นประเทศที่ 2 รองจากญี่ปุ่นที่มีโอกาสใช้ระบบขับเคลื่อนดังกล่าว ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศ จนถือเป็นความสำเร็จสำคัญของนิสสันในยุคใหม่
ว่าแต่ทำไมมันถึงได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น จนยอดจองซื้อรถ Nissan kick มหาศาล ลูกค้าต้องรอรถนานถึง 4 เดือนเลย และนิสสันโน๊ต อี พาวเวอร์ ก็มียอดขายรวมมากจนโค่นโตโยต้าได้ เรามาดูไปพร้อมกัน
1.แปลกใหม่
ประการแรกที่มีการวิเคราะห์กันถึงความสำเร็จ ของระบบขังขี่ อีพาวเวอร์ หนีไม่พ้นความแปลกใหม่ของระบบขับเคลื่อน ทำให้คนสนใจไม่ว่าจะ เรียกมันว่า รถยนต์ไฟฟ้ามีเครื่องยนต์ หรือซีรี่ย์ไฮบริด ไม่ว่าอยากไร มันก็คือ รถที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยลูกค้าไม่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้งานรถให้ยุ่งยาก
ระบบลักษระนี้ถือว่าแปลกใหม่มากกับผู้ผลิตรถญี่ปุ่น และยังไม่มีใครแนะนำรตะบบดังกล่าวออกมา ยกเว้น ในอดีต ที่มี เชฟโรเล็ต เคยนำเสนอใน Chevrolet Volt
2.เปิดตัวในรถยอดนิยม
นิสสัน โน๊ต อาจไม่ใช่รถที่มียอดขายสูงสุดในญี่ปุ่น แต่มันเป็นรถที่ได้รับความนิยมละสนใจจ่ดลูกค้าในระดับหนึ่ง ด้วยทรวดทรงของมัน ตอนนิสสันประกาศระบบขับเคลื่อนใหม่ วางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น ความน่าสนใจของระบบใหม่ ประกอบตัวรถที่มีความลงตัวในการใช้งานฟังชั่นที่ดี ช่วยแจ้งเกิดระบบ e- power ให้นิสสนั
และในครั้งนี้ที่ระบบมาติดตั้งในรถยนต์อเนกประสงค์ ก็นับว่า เป็นการรอคอยสำคัญของชาวญี่ปุ่น หลังจากมันวางจำหน่ยในรถแฮทช์แบ็คมานานกว่า 3 ปี
3.เหมาะกับถนนญี่ปุ่น
ถ้าใครเคยไปประเทศญี่ปุ่น จะพบว่า ถนนหนทางในญี่ปุ่น มีรูปแบบหลักๆ คือการขับขี่ stop & Go โดยเฉพาะย่านเจตเมืองใหญ่ๆ ไม่ว่าจะมหานครโตเกียว, หรือตามเมืองใหญ่มีการจำกัดความเร็ว 60 ก.ม./ช.ม และค่อนข้างเข้มงวดมากในเขตที่มีประชากรหนาแน่น
เมื่อขับออกเดินทางต่างจังหวัด การขับปกติจะใช้ความเร็วได้เพียง 80 ก.ม./ช.ม และส่วนใหญ่ยังเป็นถนนแบบ 2 เลน สวน ที่มีความเข้มงวดห้ามแซงรถโดยเด็ดขาด บนทางด่วนใช้ความเร็วได้ ไม่เกิน 120 ก.ม./ช.ม. แถมในหลายเส้นทางยังเป็นภูเขาสูงชัน
ทั้งหมดนี้ ทำให้ ระบบ อีพาวเวอร์ที่มีแรงบิดมาก ตอบสนองแบบรถยนต์ไฟฟ้า ขึ้นเขาดี ค่อนข้างจะตอบโจทย์ในการใช้งานจริงของลูกค้าชาวญี่ปุ่น
4.การขับขี่ที่เหมือนรถยนต์ไฟฟ้า
คนญี่ปุ่นค่อนข้างชื่นชอบเทคโนโลยี เหมือนๆ กับคนไทย และรถยนต์ไฟฟ้า ก็ได้รับความสนใจเหมือนกัน แม้ว่าญี่ปุ่นจะมีการขยายจุดชาร์จ นับพันแห่งทั่วระเทศ เพื่อให้ ประชาชนสนใจ
แต่ข้อจำกัดในเรื่องระยะทางการขับขี่ทำให้ พวกมันยังไม่ค่อยได้รับความนิยมเ่ชนกัน แต่อีพาวเวอร์ เปลี่ยนเรื่องนี้ให้ง่ายขึ้นด้วยการนำเสนอการขับขี่คล้ายรถยนต์ไฟ้า ลดความกังวลในการใช้งาน
คุณได้อัตราเร่ง ตอบสนองคล้ายรถยนต์ไฟฟ้าขนานแท้ มีแรงบิดสูงตั้งแต่รอบออกตัว แค่เพียงว่า มันมีเครื่องยนต์ช่วยปั่นไฟฟ้าไปเก็บในแบตเตอร์รี่ คุณไม่ต้องชาร์จไฟฟ้าให้วุ่นวาย
5. ราคาที่เหมาะสม
ด้วยการปรับระบบขับเคลื่อนใหม่ ในพื้นฐานรถยนต์เดิม ทำให้ นิสสัน อีพาวเวอร์ถือว่ามีราคาขายค่อนข้างถูกพอสมควร เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นจากเดิม
ระบบขับเคลื่อนใหม่ที่พัฒนาขึ้นจากของเดิมที่มีอยู่ในบริษัท ทำให้สามารถทำต้นทุนได้ถูก เมื่อนำมันวางจำหน่ายจึงทำให้ราคาขายไม่สุงจนเกินเอื้อมนัก
ในญี่ปุ่น Nissan Note ปกติ มีราคาขาย 1,447,600 เยน หรือประมาณ 434,000 บาท ในรุ่นเครื่องยนต์ปกติ (รุ่น S เครื่อง 1.2ลิตร) พอมาดูรุ่น e-power เริ่มต้น มีราคา 2,059,200 เยน หรือ 617,000 บาท ต่างกันแค่ 180,300 บาทเท่านั้นเอง
6.ประหยัดกว่า
อีกประเด็นที่สำคัญ คือระบบอีพาวเวอร์มีความประหยัดกว่า เครื่องยนต์สันดาปแน่นอน ในการใช้งานจริง ถ้าเราเอาตามจข้อมูลที่มีจากนิสสันประเทศญี่ปุ่น
ปัจจุบัน Nissan Note เครื่องยนต์ 1.2 มีอัตราประหยัด 23.4 ก.ม./ลิตร จากการอ้างอิงของประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ตัวอีพาวเวอร์ มีความประหยัดสูงถึง 34 ก.ม./ลิตร หรือประหยัดกว่า 10 กว่า ก.ม./ลิตร (อ้างอิง นิสสัน ญี่ปุ่น)
ในส่วน Nissan kick e-Power การทดสอบในโหมด JC08 ได้ 30 ก.ม./ลิตร นั่นไม่ต่างจาก Toyota C-HR Hybrid ทำได้ 30.4 ก.ม./ลิตร ในโหมดเดียวกัน แต่มีราคาแพงกว่า 4 แสนเยน หรือ ราวๆ 120,000 บาท
ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นวางใจระบบอีพาวเวอร์ จนได้รับความนิยมมาก ประเทศไทยนับว่าค่อนข้างโชคดีที่ได้ใช้ระบบนี้เป็นแห่งที่ 2 ในโลก และยังไม่มีประเทศอื่นในอาเซียน หรือ ในโลกได้ใช้ระบบนี้เลย