ขณะที่ในไทย ตอนนี้ Ford เลือกที่จะรุกตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ด้วยรถเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น นั่นคือ Everest แต่ในประเทศอื่นๆทั่วโลก กลับมีรถอเนกประสงค์อีกหลายรุ่นที่น่าสนใจไม่แพ้กัน อย่างเช่น 2024 Ford Edge L ที่พึ่งเปิดตัวในประเทศจีนไปไม่นานคันนี้

2024 Ford Edge L คือรถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งแบบ 2+2+3 ที่มาพร้อมกับงานออกแบบใหม่ ซึ่งเรียกได้ว่าให้อารมณ์ที่แตกต่างไปจาก Ford Everest แทบจะสิ้นเชิง

เพราะแม้งานออกแบบภายนอกของมัน จะดูมีความเป็นกล่องด้วยข้อจำกัดเรื่องรูปทรงของรถ แต่เส้นสายรอบคันของมัน กลับเน้นความโฉบเฉี่ยว ตั้งแต่หัวจรดท้าย ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของกระจังหน้า, กันชนหน้า, ดวงไฟ LED ที่มีการต่อแถบไฟ DRL คาดยาวตลอดแนวฝากระโปรง

ชิ้นแก้มข้างมีงานออกแบบที่ไม่ต่างจาก Everest มากนัก แต่ถ้าดูจากการจรดเส้นสายจากแนวฝากระโปรงแล้ว จะเห็นได้ว่ามันมีความโค้งมนมากกว่า ไม่เว้นแม้กระทั่งแนวหลังคาช่วงท้าย ที่มีความลาดเอียงเป็นพิเศษ แต่ไม่ถึงขั้นทำให้มันกลายเป็นรถทรงฟาสท์แบ็ค แม้แต่แนวกรอบกระจกทางด้านข้างยังมีการเล่นระดับเล็กน้อย ให้รับกับทั้งตัวถังและแนวหลังคาได้อย่างลงตัว

จะมีก็เพียงด้านท้ายรถเท่านั้น ที่ดูเหลี่ยมสันกว่าส่วนอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้มันดูขาดๆเกินๆ เมื่อมองในภาพรวมของตัวรถทั้งคันแต่อย่างใด

ด้านเลขมิติตัวรถของตัวรถรุ่นนี้ ก็จะมีตัวเลขด้านยาว ที่ 5,000 มิลลิเมตร, ด้านกว้าง 1,961 มิลลิเมตร, และด้านสูง 1,773 มิลลิเมตร กับระยะฐานล้ออีก 2,950 มิลลิเมตร

ซึ่งหากเทียบตัวเลขทั้งหมด กับ Ford Everest รุ่นล่าสุดในไทย เจ้า Edge L ก็จะมีตัวถังที่ยาวกว่า 86 มิลลิเมตร, กว้างกว่า 38 มิลลิเมตร, มีระยะฐานล้อยาวกว่าถึง 50 มิลลิเมตร แต่จะเตี้ยกว่า 69 มิลลิเมตร

ส่วนงานออกแบบภายใน ค่อนข้างเน้นไปทางการใช้เส้นสายที่เรียบง่าย แต่ทันสมัย ด้วยหน้าจอแสดงผลข้อมูลตัวรถขนาด 12.3 นิ้ว และหน้าจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ที่ยาวจนกินพื้นที่ไปถึงฝั่งผู้โดยสาร จนด้านความกว้างในมุมแทยงที่มากถึง 27 นิ้ว แถมความละเอียดที่ให้มา ยังสูงถึง 4K โดยการติดตั้งก็จะเป็นแบบกึ่งลอยตัวจากคอนโซลขึ้นมา เพื่อความโดดเด่น

และหากลองสังเกตกันให้ดี ก็จะพบว่าเบาะนั่งของมันนั้น มีดีไซน์ที่ค่อนข้างแปลกตามากเลยทีเดียว โดยเฉพาะในส่วนหมอนรองหัว และความสามารถในการปรับเอนพร้อมที่รองน่อง เหมือนกับเบาะของเครื่องบินชั้น First Class

หากแค่นั้นยังไม่พอ มันก็มีลูกเล่นภายในห้องโดยสารสุดทันสมัยอีกมากมาย ทั้ง แท่นวางโทรศัพท์พร้อมระบบ Wireless Charge, หัวเกียร์ไฟฟ้า, ระบบ Head-Up Display, ระบบไฟแวดล้อม, หลังคา Panoramic-Sunroof, ระบบแอร์แบบ 3 โซน, และ ระบบเสียงจาก B&O พร้อมเสริมความมั่นใจในการใช้งานด้วยระบบ ADAS ที่มีฟังก์ชันย่อยกว่า 20 รายการ

ขุมกำลังของตัวรถรุ่นนี้ ก็จะมีรุ่นย่อยให้ชาวจีนได้เลือก 2 แบบด้วยกัน ได้แก่ เครื่องยนต์ EcoBoost เบนซิน เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 252 PS กับแรงบิดสูงสุด 378 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ และใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

ส่วนอีกขุมกำลังคือ เครื่องยนต์ลูกเดิม แต่เพิ่มระบบไฮบริดแบบ Parallel เข้าไป จนทำให้มันสามารถเค้นกำลังสุทธิรวมกันได้มากขึ้น เป็น 275 PS กับแรงบิดสูงสุดอีก 405 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับชุดเกียร์อัตโนมัติ และใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเช่นกัน

และด้วยความประหยัดของขุมกำลังรุ่นหลัง ที่มีตัวเลข 6.31 ลิตร / 100 กิโลเมตร หรือราวๆ 15.84 กิโลเมตร/ลิตร จึงทำให้มันสามารถวิ่งได้ไกลสุดราวๆ 1,188 กิโลเมตร ต่อน้ำมันเต็มถังหนึ่งถัง ตามมาตรฐานการทดสอบของ WLTC

ด้านราคาสำหรับการวางจำหน่าย ในตอนนี้ยังไม่มีการเผยตัวเลขออกมา เนื่องจากภาพและข้อมูลตัวรถที่ไล่เรียงมาข้างต้น เป็นข้อมูลที่หลุดออกมาจากหน่วยงานรัฐ ยังไม่ใช่การเผยข้อมูลโดยทางค่ายเอง เพราะกำหนดการเปิดตัวรถจริงๆคือช่วงเดือนเมษายน ที่จะถึงนี้ต่างหาก

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่