2023 BMW XM เอสยูวีพันธ์ดุคันใหม่ล่าสุดจาก M-Series ถูกเผยโฉมอย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้ ด้วยจุดเด่นคือขุมกำลังแบบปลั๊กอิน-ไฮบริด ที่ให้กำลังสูงสุดรวมกันได้มากถึง 653 แรงม้า

2023 BMW XM ถือเป็นรถอเนกประสงค์รหัส M คันแรก ในรอบหลายสิบปีต่อจาก M1 Pro Car ยุคปี 1970 ที่ไม่ได้ใช้พื้นฐานร่วมกับรถรุ่นอื่นนใดของทางค่าย ดังนั้นเราจึงจพเห็นได้ว่ารูปร่างหน้าตาของมันนั้น ไม่ได้มีความใกล้เคียงกับเหล่ารถ BMW X-Series เลยสักรุ่น ตั้งแต่ X1 ไปจนถึง X7 หรือแม้กระทั่ง iX

โดยหากให้อธิบายในเบื้องต้น เจ้า XM คันนี้ ก้มาพร้อมกับงานออกแบบที่ถอดมาจากรถคอนเซปท์แทบทุกระเบียดนิ้วโดยเฉพาะกับชุดกระจังหน้า รวมถึงรูปทรงของฝากระโปรงหน้าที่คล้ายเดิมกับตอนยังเป็นรถคอนเซ็ปท์ ขณะที่ชิ้นส่วนกันชนหน้า ก็ดูหวือหวาอยู่เมื่อเทียบกับรถเอสยูวีทั่วๆไปอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเส้นสายที่ซับซ้อนกว่า แม้ว่านี่จะถือว่าน้อยลงแล้วกว่าตอนที่ยังเป็นรถต้นแบบก็ตาม

ขณะที่ตัวโคมไฟหน้าเอง ก็เป็นแบบ 4 โคม แยกส่วน แบบเดียวกับ BMW Series-7 โฉมล่าสุด โดยแบ่งเป็น แถบโคมไฟ DRL ที่จะแบ่งเป็นคู่ซ้าย-ขวา ทางด้านบน และ โคมไฟส่องสว่างดวงหลัก คู่ล่างอีกชุด

นอกนั้นในด้านชิ้นส่วนอื่นๆรอบคัน ก็มีความแตกต่างจากเหล่าพี่น้องร่วมตระกูล X รุ่นอื่นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกรอบกระจกห้องโดยสารที่มีเส้นแข็ง เป็นเหลี่ยมเป็นสันชัดเจน แม้แต่คิ้วซุ้มล้อเอง ก็ยังมีการเล่นระดับสายตาด้วยการเปลี่ยนมาทำสีดำ ตัดกับสีโทนหลักของตัวรถ

ส่วนงานออกแบบด้านท้ายรถ ก็เรียกได้ว่าแทบจะลากแนวเส้นกรอบชุดกันชนท้าย กับบานกระจกหลังมาจากตัวต้นแบบ แต่นอกนั้นก็จะแทบไม่มีอะไรที่เหมือนเดิมอีกเลย ทั้งไฟท้าย ที่ไม่ได้เป็นแบบเส้นแถบสีแดง แต่เป็นเป็นแบบโคมแนวนอน ในลักษณะที่คุ้นตา มาพร้อมกับท่อไอเสียแบบออกคู่บน-ล่าง แยกฝั่งซ้าย-ขวา กรอบปลายท่อแบบเหลี่ยมสัน เห็น มุมชัดเจนขึ้น

ด้านขุมกำลังซึ่งถือเป็นจุดเด่นและจุดขายสำคัญของมัน ก็มีรายเอียดคือ การใช้เครื่องยนต์เบนซิน V8 เทอร์โบคู่ ความจุ 4.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 490 แรงม้า PS กับแรงบิดสูงสุดอีก 650 นิวตันเมตร ซึ่งจะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 197 แรงม้า PS ซึ่งเมื่อพวกมันทำงานร่วมกันแล้ว ผลลัพท์ของกำลังสูงสุดที่ได้ ก็จะขยับขึ้นเป็น 653 PS ที่รอบเครื่องยนต์ 5,400 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุดอีก 800 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 5,000 รอบ/นาที

เมื่อเจาะจงลงไปที่ระบบมอเตอร์ไฟฟ้าอีกนิด เราก็จะพบว่ามันสามารถเค้นแรงบิดสูงสุดได้มากถึง 450 นิวตันเมตร จากหยุดนิ่ง และในการวิ่งด้วยความเร็วคงที่ มันก็จะส่งแรงบิดไปช่วยเครื่องยนต์ที่ราวๆ 281 นิวตันเมตร แล้วจึงจะกลับไปเค้นแรงบิดสูงสุดอีกครั้งเมื่อมีการกระแทกคันเร่ง (และมีแบตฯเหลืออยู่) เพื่อแซงรถคันหน้า

ระบบส่งกำลังที่ให้มา ก็จะเป็นแบบชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด เพื่อถ่ายกำลังไปยังชุดล้อทั้ง 4 ซึ่งจะถูกประมวลผลด้วยระบบขับเคลื่อนอันขึ้นชื่อของทางค่ายอย่าง BMW xDrive แต่ด้วยน้ำหนักตัวรถที่มากถึง 2,750 กิโลกรัม จึงทำให้มันสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลา 4.3 วินาทีเท่านั้น ซึ่งนั่นถือว่าช้ากว่า รุ่นน้องอย่าง X6 M ที่กดความเร็วเท่ากันได้ในระยะเวลาเพียง 3.8 วินาที เสียอีก แม้ว่าเจ้า XM จะมีราคาแพงกว่ามากก็ตาม

แต่ทั้งนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้ เพราะน้ำหนักตัวของมันที่เยอะขนาดนั้น ก็มีสาเหตุมาจากชุดแบตเตอรี่แพ็คขนาด 25.7 kWh ที่ต้องใช้เวลาในการชาร์จ จาก 0-100% ผ่านแท่นชาร์จแรงดันไฟ 7.4 kW ในเวลา 3.25 ชั่วโมง ซึ่งนั่นก็ทำให้มันสามารถวิ่งด้วยโหมด EV ได้ไกลสุดเป็นระยะทาง 50 กิโลเมตร นั่นเอง

ด้านความเร็วสูงสุด ที่เจ้ายักษ์รุ่นนี้สามารถทำได้ ก็จะถูกล็อคเอาไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตอนออกโรงงาน แต่หากลูกค้ากบ้าพอจะซื้อแพ็คเกจ “M Driver” ที่นอกจากมันจะมีโหมดปลดการทำงานระบบช่วยเหลือต่างๆให้มีความดุดันมากขึ้นแล้ว ความเร็วสูงสุดของตัวรถที่หนักเกือบ 3 ตัน คันนี้ ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 270 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในทันที

และด้วยกำลังกับน้ำหนักตัวที่ค่อนข้างมาก จึงทำให้ทาง BMW ต้องใส่ใจในเรื่องระบบช่วงล่าง และโครงสร้างตัวถังเช่นกัน ทั้งแชสซีย์ ที่ไม่ได้ออกแบบมาให้ใหญ่โตเพียงเพื่อความสะดวกสบายในห้องโดยสาร แต่ยังทำให้การกระจายน้ำหนักรอบคันมีความสมดุลขึ้นมาก, เสริมด้วยระบบโช้กไฟฟ้าที่ทำงานร่วมกับชุดกลไกปีกนกสองชั้นทางด้านหน้า กับกลไกมัลติลิงค์ทางด้านหลัง และเหล็กกันโคลงไฟฟ้า ที่สามารถแปรผันทั้งความหนืด และความแข็งของตนเองได้ตามสถานการณ์การขับขี่ หรือโหมดการขับขี่ที่ลูกค้าตั้งเอาไว้

ส่วนระบบเบรกทางค่ายไม่ได้มีการเปิดเผยว่ามันใช้จานเบรกขนาดเท่าใด แต่อย่างน้อยก็มีการเปิดเผยว่า ทางด้านหน้าของมัน จะเป็นจานเบรกขนาดใหญ่ ที่ทำงานร่วมกับปั๊มเบรก 6 พอท แต่ทางด้านหลังจะใช้ปั๊มเบรก 1 พอท เท่านั้น โดยที่ชุดล้อเดิมๆติดรถมา ก็จะเป็นวงล้อ 21 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 275/45 R21 และ 315/40 R21 ตามลำดับหน้า-หลัง โดยลูกค้าสามารถเลือกซื้อออพชันชุดล้อ 22 นิ้ว หรือ 23 นิ้ว เพิ่มเติมได้อีก

ด้านราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในสหราชอาณาจักรของ BMW XM ก็จะเปิดตัวเลขเอาไว้ที่ 144,980 ปอนด์สเตอร์ลิง หรือราวๆ 5.94 ล้านบาท และเราต้องเสริมข้อมูลอีกว่า นี่ไม่ใช่ XM เพียงหนึ่งเดียว ที่จะถูกเปิดตัวออกมา

เพราะในเร็วๆนี้ ทางค่ายยังเตรียมเผยโฉมพิเศษ XM Red Lebel ที่ได้ขุมกำลังแรงขึ้นจนแตะระดับ 800 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุดกว่า 1,000 นิวตันเมตรออกมาเพิ่มอีกด้วย ซึ่งก็ต้องรอติดตามกันต่อไปว่าราคามันจะโดดขึ้นอีกเท่าไหร่กัน

ข้อมูลจาก BMW

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่