หลังจากเดือนเข้ารพ. นอนจมไข้มาหลายวันเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว ผมก็เลยวางแผนว่าน่าจะต้องไปพักร่างกันบ้าง ผมเองก็เตรียมงานการโหมโรงทำเว็บใหม่อย่างจริงจังด้วย ก็เลยคิดว่าเราน่าจะไปพักช่วงสั้นๆ ผ่อนคลายกันสักหน่อย

ในช่วงหลายเดือนแล้ว ผมได้รับคำเชิญ จากรุ่นพี่อดีตนักข่าวสายยานยนต์ท่านหนึ่ง ซึ่งไปอยู่จังหวัดชัยภูมิ ว่าที่นี่เมืองน่าเที่ยว

สำหรับผม ชัยภูมิ เป็นจังหวัดที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลยในแง่การท่องเที่ยว ผมเชื่อว่าก็มีไม่กี่คนหรอกที่จะนึกถึง ที่นี่ แต่ถ้าพูดก็พูดแล้ว ชัยภูมิ อยู่ติดหลายจังหวัดสำคัญ ทั้ง ลพบุรี , นครราชสีมา,เพชรบูรณ์ และ แม้แต่ขอนแก่น  …
ผมจำได้ว่า สองปีที่แล้ว ผมขับรถตัดจากน้ำหนาวลงมาผ่านชัยภูมิ แต่ไม่ได้แวะเที่ยว 

งานนี้พี่เขาชวนก็เลย คิดว่า จะลองไปสักครั้งให้รู้ว่า เมืองที่หลายคนไม่คิด ก็มีดีเหมือนกัน

การเดินทางคร้งนี้ผมเดินทางตั้งแต่ วันศุกร์กลางวัน เพื่อเลี่ยงรถติดช่วงเทศกาลวันแม่หยุด 3 วัน แล้ววางแผนว่าจะหลับวันอาทิตย์

จุดขายเด่นของชัยภูมิ คือ ดอกกระเจียว ซึ่งจะปรากฏที่อุทยานแห่งชาติ ป่าหินงาม ผมกับเดือนตั้งเป้า ว่าเราจะไปที่นี่แหละ เพราะเหมือนไปถึงชัยภูมินั้น ต้องไปดูทุกดอกกระเจียว

ระหว่างทางที่ขับ  Subaru XV  คันเก่งเรามาเรื่อยๆ ตามทางเราก็กกลัวว่าคนจะเยอะ ประกอบกับ พี่หม่ำที่อยู่ชัยภูมิ ก็บอกมากลายๆ ว่าคนอาจจะเยอะ เลยตัดสินใจเปลี่ยนที่ไปยัง อุทยานแห่งชาติไทรทอง ซึ่งใน  Pantip  รีวิวว่ามีดอกกระเจียวเหมือนกัน (เราก็เชื่อพันทิพ เนอะ …)

ช่วงบนถนนมิตรภาพ สายเลือกใหญ่สุ่ภาคเหนือ ยอมรับว่า การจราจรเริ่มหนาแน่น แต่พอเลี้ยวซ้ายตรงต่างระดับเดียวกับที่เลี้ยวขวาไปยัง บุรีรัมย์ รถยนต์ เริ่มบางตาลงอย่างเห็นได้ชัด

รถที่มาชัยภูมิมีจำนวนน้อยมาก ถ้าไม่นับรถท้องถิ่น น้องส้ม น่าจะเรียกว่า  เป็นรถต่างถิ่นคันเดียว ที่แล่นฉิว แถวนี้

พอผ่านอำเภอสุดท้ายของโครราช ถนนตรงเข้าชัยภูมิ เป็นถนนสี่เลนวิ่งสบายยาวๆ มีโค้งให้เล่นบ้างแก้ง่วง ใช้ความเร็วได้พอตัว มองไป 2 ข้างทางเป็นเกษตรกรรมตลอดแนว เพลินตาเพลินใจ

ไม่นานเราก็มาถึงอำเภอจัตุรัส ชายแดนของจังหวัดชัยภูมิ  Google บอกทางเลี้ยวซ้าย ไปยังอำเภอ หนองบัวระเหว …

ไอผมก็งง อำเภอบ้าอะไร ตั้งชื่อแบบนี้ เดือนช่วยอ่านให้ฟังว่า มันอ่านว่า หนอง-บัว-ระ-เวหห  ….  เออ ว่าแล้ว ก็งงดี ..

ตั้งแต่เลี้ยวซ้ายเข้ามา เราขับบนถนน 2 เลนสวน ยาวๆ ทางเส้นนี้ เป็นทางที่ชาวบ้านใช้ในการสัญจร 2 ข้างทางมีแต่ทุ่งนา กับ เกษตรกรรมเหมือนเดิม ถนนหนทางไม่ค่อยมีรถมากมายนัก ขับได้สบายใจ จนกระทั่งไปตัดออก สี่แยก เราเลี้ยวซ้ายไปทางอำเภอ ภักดีชุมพล ซึ่งจากจุดนี้ไปอีกประมาณ 30 กิโลเมตร ก็คือปลายทางของเรา

อุทยานแห่งชาติไทนทอง ค่าเข้าเท่ากับอุทยานแห่งชาติอื่นทั่วประเทศ แต่มีไฮไลท์สำคัญ อยู่ที่จะตั้งเต็นท์ให้ได้อรรถรส ต้องเดินทางไปยังตรงจุดกางเต้นท์ ด้านบนผาพ่อเมือง

การขึ้นไปที่จุดดังกล่าว สามารถเดินทางด้วยรถส่วนตัวได้ ถ้าคุณใช้รถ อเนกประสงค์ หรือกระบะ เนื่องจากต้องผ่านจุดที่เป็นน้ำตกขึ้นไปยังจุดกางเต๊นท์ดังกล่าว

Subaru  XV   มีระยะต่ำสุดจากใต้ท้องถึงพื้น 250 มม. แม้ ตัวรถจะดูเป็นเก๋ง แต่การเดินทางในเส้นทางแบบนี้บอกเลยว่าสบายมากไว้ใจได้ แถมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Symmetrical All Wheel   Drive  ก็ไว้ใจได้

เพื่อควาไม่ประมาท ผมลงไปเอากิ่งไม้ที่อยู่บนพื้น เดินจิ้มน้ำดูก่อน ระดับน้ำตอนข้ามไปประมาณ 30 ซ.ม. ระดับคือครึ่งล้อ   Subaru  XV   เท่านั้น ผ่านไปไม่ยาก

มานานเราก็มาถึงจุดกางเต๊นท์ที่นี่ เย็นวันศุกร์ มีผมกับเดือน เจ้าหน้าที่ และครอบครัวนักท่องเที่ยวอีกราย เท่านั้น ใช้คำว่า บรรยากาศ โคตรเงียบสงบได้เลย บนจุดกางเต็นท์ที่นี่ดีอย่างคือ คุณมาแต่ตัวเปล่าก็ได้ ค่าเช่าเต็นท์ป่าไม้เพียงหลังละ 236 บาท นอกจากนี้ยังมีของกินบนนี้ และห้องน้ำห้องท่าโคตรสะอาดพอสมควร กลางคืนมีไฟฟ้าเปิดถึง 3 ทุ่ม  ด้วยเครื่องปั่นไฟฟ้าของอุทยาน

ผาพ่อเมืองจุดนี้ เดินลงไป 50 เมตร เป็นจุดสำคัญในการชมพระอาทิตย์อัสดง (พระอาทิตย์ตก) แม้ว่าวิวมองลงไปข้างล่างจะเป็นหมู่บ้านชาวบ้าน  แต่ก็เป็นวิวที่สวยงามจับใจ

ผาหำหด อุทยานแห่งขาติไทรทอง จังหวัด ชัยภูมิ

จากผาพ่อเมืองไปสัก 200 เมตรเป็นผาชะง่อนยื่นออกไป ไฮไลท์ที่นี่ ใช้ขื่อว่า “ผาหำหด” เป็นผาที่คุณสามารถถ่ายรูปได้ ความงามของท้องฟ้าสุดๆ 

ที่ใช้ชื่อว่าผาหำหด เพราะว่า  ยืนที่นี่แล้วดูน่ากลัวชิบหาย ผมล่ะไม่กล้าเข้าไปถ่ายภาพ เพราะว่า เดี่ยวผาเขาจะหัก แล้วผมจะงานงอก … ยิ่งช่วงนี้อ้วนด้วย 

ใกล้กันมีทุ่งดอกบัวสวรรค์  ซึ่งดอกไม้นี้ค่อนข้างคล้ายดอกกระเจียวแต่ผมได้ทราบมาภายหลังว่าคือดอกสายพันธุ์เดียวกัน แต่ไม่ใช่ดอกกระเจียวอย่างที่เราเข้าใจ .. แต่ดอกที่นี่สวยไปอีกแบบ แถมธรรมชาติของอุทยานแห่งชาติที่นี่ค่อนข้างสวยงาม จนน่าประทับใจ ถ้ามีแรงมีกำลัง แนะเข้าไปเดินเที่ยวทุ่งดอกบัวสวรรค์ 1 ซึ่งต้องเดินไกลถึง 2 กิโลเมตร ไปกลับ 4 กิโลเมตร แต่สำหรับผมไม่ไกว สังขารตอนนี้ไม่ค่อยดีแล้ว …

อยากแนะนำว่า ถ้าจะดูดอกบัวสวรรค์ให้สวย ให้มาตอนเช้า แดดไม่ร้อนอากาศ เย็นเดินได้นานครับ

ทุ่งดอกบัวสวรรค์ อุทยานแห่งชาติไทรทอง 

วันถัดมาเราลงจากอุทยานแห่งชาติไทรทอง ขาออกน้ำสุงกว่าขาเข้านิดหน่อย แต่ก็ผ่านได้สบายมาก

วันนี้ผมมีนัดกับพี่ที่รู้จักกันมายาวนาน ชื่อ “พี่หม่ำ” เดิมที่เคยเป็นนักรีวิวทดสอบรถด้วย กัน แต่วันนี้พี่เขามาเอาดีอยู่ที่นี่ และให้คำปรึกษาในการพัฒนาอุทยาน แก่หัวหน้าอุทยานที่ชัยภูมิ ซึ่งจะพาผมไปเที่ยวที่พิเศษในอุทยานแห่งชาติตาดโตน

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ถึงชัยภูมิจะดูเป็นเมืองเล็กๆ อารมณ์คล้ายเมืองน่าน อยู่บ้างในบางมุม แต่อุทยานแห่งชาติตาดโตนที่นี่ เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีคนเข้าชมเยอะติดเป็นอันดับที่ 9 ใน 10 อุทยานแห่งชาติทั่วประเทศไทย พี่หม่ำเขาเล่าให้ฟังแบบนั้น

ยิ่งกว่านั้นถ้าใครจะเดินทางไปอุทยานแห่งชาติที่นี่สมควรจะเตรียมพร้อมให้ดี  จากตัวเมืองชัยภูมิเดินทางออกไปเพียง 30 กิโลเมตรก็จริง แต่ว่ามีร้านสะดวกซื้อเจ้าสำคัญเพียง 2 ร้านเท่านั้น ถ้าเลย 2 จุดมาแล้ว จะไม่มีความเจริญใดๆ เป็นไฮไลท์ที่น่าสนใจของที่นี่ ที่ผมว่าเจ๋งและแปลกกว่าอุทยานที่อื่น โฮไลท์สำคัญของตาดโตนคือ น้ำตกตาดโตนที่อยู่ในอุทยาน

แต่ที่ผมกำลังไปนั้น ถือเป็นที่ใหม่ และในอนาคตอันใกล้อาจจะเป็นอุทยานฟ้ามืดแห่งแรกของประเทศไทย …. อีกด้วย

อุทยานฟ้ามืด พูดแล้วหลายคนคงเกาหัวชวนสงสัยกันว่ามันคืออะไร

อุทยานฟ้ามืด ก็เป็นการเปิดพื้นที่อุทยานให้ใช้สำหรับการชมดาว หรือดูดาวเพื่อศึกษาดาราศาสตร์โดยเฉพาะ

พื้นที่แห่งนี้ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า พูดได้หรือเปล่า แต่ผมก็อยากจะมาเล่าว่า พื้นที่ป่าที่ผมได้เข้ามาเยือน ที่ชื่อว่า “โล่ใหญ่” นี้เป็นพื้นที่ป่าฟื้นฟู เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติตาดโตนที่กำลังอยู่ในภาวะศึกษา ฟื้นฟูและพัฒนา โดยพื้นที่ส่วนนี้เดิมถูกบุกรุกโดยชาวบ้าน เป็นพื้นที่ป่าที่สามารถนำคืนมาได้จากกระบวนการจัดการของรัฐบาลยุคนี้

“โล่ใหญ่” ในวันนี้ที่ผมไป จึงอาจจะใช้คำพูดได้ว่า เป็น สื่อมวลชนคนแรกที่ไปเยือนพื้นที่แห่งนี้ เลยก็ว่าได้

พื้นที่ป่าโล่ใหญ่ เป็นป่าในพื้นที่ราบสูงและมีเนินเขาทับซ้อนอยู่หลายชั้น ทำให้ ปราศจากแสงรบกวนจากพื้นที่ภายนอก

ยามกลางวัน มีจุดชมวิวที่สำคัญ ได้แก่ ง่ามมรกต ซึ่งด้านล่างมีลำธารเล็กๆ ไหลไปลง แม่น้ำชีรอง นอกจากนี้ในพื้นที่ยังมีเนินใหญ่ๆ อีก 2 -3 เนิน พี่หม่ำเล่าว่า ยอดเขาในพื้นที่มีความสูงประมาณ 900 เมตร จากระดับน้ำทะเล หนึ่งในนั้น ชื่อว่า “เนินส่องช้าง” เข้าใจว่าเดิมทเด้านล่างเป็นป่าทึบและช้างป่าจะใช้เนินนี้เดินทางขึ้นหรือลงจากภูเขาเป็นประจำ

พี่หม่ำกับผมขับรถช้าไปท่ามกลางพื้นป่าที่มีต้นไม้น้อยใหญ่ มันอาจจะไม่ใช่ป่าทึบ แต่เป็นลักษณะของพื้นที่หญ้าตามเนินเขาพร้อมต้นไม้มากกว่า ข้อดีของที่นี่คือ แดดร้อนก็จริง แต่ลมโชยตลอดเวลาแถมยังเป็นอากาศบริสุทธิ์ ด้วยรอบข้างไม่มีหมู่บ้านหรือเมืองใกล้เคียงอย่างน้อยในระยะ 5 กิโลเมตร

จุดชมวิวง่ามมรกต ในป่า “โล่ใหญ่”

การเอา   Subaru XV   ขับผ่านดินแดงตามป่า ต้องฝ่าอุปสรรคพื้นที่ซับน้ำ ที่จะมีลักษณะเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ เป็นโคลน  ผ่านพื้นที่โขดหินเล็กๆ ก็ลุยได้ วันนี้ เรียกว่าใช้รถกันอย่างเต็มความสามารถ

พอถึงตกฟ้าค้ำ เราก็นั่งกินอาหารพื้นบ้านที่นี่ มันคือแจ่วฮ้อน หรือคนกรุงอย่างเราๆท่านๆ  อาจจะเรียกว่า “จิ้มจุ่ม” คล้ายๆ กัน ที่นี่แจ่วฮ้อนราคาชุดใหญ่ชุดละ 200 บาท พี่หม่ำ ซื้อมาให้เราลองทางจากตัวเมืองชัยภูมิ

รสชาติแจ่วฮ้อนที่นี่ ได้รสชาติมากๆ ไม่เผ็ดแซ่บจนแสบปาก แต่กำลังอร่อย แนะนำว่า สมควรทาน แจ่วฮ่อนเนื้อ จะยิ่งอร่อยมาก

 อีกอย่างที่เป็นอาหารพื้นเมืองที่ ชัยภูมิ จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ “หม่ำ”

หม่ำ คือ ไส้กรอกสไตล์อีสานบ้านเฮา เดิมทีเป็นการถนอมอาหารสูตรชาวบ้านด้วยการนำเนื้อสัตว์ผสมกับเครื่องในบด แล้วยัดใส่ในไส้หรือถุงน้ำดี หมักไว้จนมีรสเปรี้ยว จึงนำมาทำอาหาร ทำให้การล้มวัวหนึ่งตัว ไม่สูญเปล่า

พี่หม่ำ เรานำหม่ำเจ้าหนึ่งมาให้ชิม ซึ่งพี่เขาการันตีว่าเจ้านี้สุดยอดมาก ชื่อ “หม่ำมงคล” แต่ได้ฟังเรื่องราวแล้วก็ใจหาย หม่ำเจ้านี้อาจจะกำลังเลิกกิจการเร็วๆนี้

การทาน “หม่ำ” คุ่กับแจ่วฮ้อน ท่ามกลางป่าโล่ใหญ่ ได้รสชาติความเป็นอีสานแท้ ที่ไม่ได้มีเพียงข้าวเหนียวส้มตำไก่ย่างอย่างที่เราคิด

เรานั่งทานสักพักด้วยบรรยากาศรอบข้างที่ไม่มีแสงไฟมนุษย์รบกวน และมีภูเขารายล้อม ป่าโล่ใหญ่ เริ่มโชว์ให้เราเห็นถึงความงามที่แท้จริงในยามค่ำคืน ด้วยหมู่มวลดาวที่เริ่มออกมาส่องประกายระยิบระยับน้องใหญ่มากมาย ในคืนนี้เป็นคืนที่มีฝนดาวตก  “เพอร์เซอิดส์”

สมัยเด็กๆ ผมเองเป็นคนที่ชอบเรื่องดาราศาสตร์อย่างมาก การดูดาวเรียกว่าเป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่จากประสบการณ์ไม่เคยมีที่ไหน มืดจนถึงขนาดดูดาวได้เห็นเด็นชัด ด้วยมุมมองแบบ 360 องศา แบบที่ท้องฟ้าจำลองทำให้เราดูได้

แต่ที่นี่คือท้องฟ้าจริงในสภาวะแบบท้องฟ้าจำลอง พี่หม่ำบอกเราว่า ด้วยที่นี่ห่างไกลจากเมือง ห่างไกลจากหมู่บ้านเล็กๆ ที่ใกล้ที่สุด ทำให้ท้องฟ้าค่อนข้างมืด จนถึงขนาดดูดาวได้ชัดเจนมาก

ท้องฟ้ายามค่ำคืน ที่ป่าโล่ใหญ่ สามารถชมดาวได้ชัดเจน 

การพัฒนาพื้นที่ตรงนี้ จึงอยากให้เกิดขึ้น เพื่อดูดาว สนับสนุนวงการดาราศาสตร์ไทย  ซึ่งจำเป็นต้องมีที่ดูดาวที่มีคุณภาพ เพื่อการศึกษาเรียนรู้ ความมืดของที่นี่สำหรับผมอยู่ในระดับดีเยี่ยม …

มันดีมากพอที่คุณจะเห็นแสงทางช้างเผือกได้ด้วยตาเปล่า และถ่ายรูปบันทึกได้ ถ้ามีอุปกรณ์การถ่ายภาพที่ดีมีคุณภาพมากพอ

นี่นับเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผมเห็นทางช้างเผือกด้วยตาเปล่า ขณะที่ดวงดาวบนท้องฟ้าระบิยระยับ ฝนดาวตกที่เราตั้งใจหวังจะมาดู ผ่านออกมาเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องอาจจะไม่ได้มากมาอย่างที่คิด แต่ก็เห็นได้อยู่ ในเวลา 2-3 ทุ่ม ไม่ต้องรอตกดึกอดหลับอดนอน เพื่อชมความงามธรรมชาติ

มันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก ไม่เคยคิดว่า บรรยากาศแบบมืดสนิท เงียบสงัดจะมีจริงในประเทศไทย จนผมว่าวันหน้า ป่าโล่ใหญ่ จะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงดาราศาสตร์แห่งแรกของประเทศไทย ที่อาจจะพลิกฟื้นให้คนรู้จักเมืองชัยภูมิมากขึ้น

ผมอำลาพี่หม่ำกับ เมือง “ชัยภูมิ” พร้อมความรู้สึกดีตลอด 2 วันเต็ม ที่นี่เปี่ยมด้วยธรรมชาติอย่างแท้จริง  รวมถึงมิตรภาพ และสถานที่ ซึ่งคนส่วนใหญ่มองข้าม และยังไม่เคยมา แต่สำหรับผมเริ่มประทับใจที่นี่ ในแง่ของความเงียบเต็มอิ่มคำว่า “พักผ่อน” อย่างแท้จริง รวมถึงบรรยากาศเรียบง่ายแบบอีสาน ที่สามารถดึงมาเป็นจุดขายทางด้านการท่องเที่ยวอีกรูปแบบ

ผมว่าถ้าใครอยากพักผ่อนแบบเงียบๆ ของแท้ ขับรถไปหลายที่แล้ว รู้สึกว่าชีวิตยังมีความวุ่นวายลองใช้เวลา 2-3 วัน ไปยังจังหวัด ชัยภูมิ คงจะได้สัมผัส อีกความรู้สึก อีกมุมของคำว่าพักผ่อนอย่างแท้จริง

ชอบกดไลค์ใช่กดแชร์ ขอบคุณทุกกำลังใจสำหรับพวกเรา   ridebuster.com 



แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่