ที่อเมริกาตอนนี้บรรดาลูกค้าที่ลงชื่อจอง Tesla Model 3 ทุกคนต้องทำใจรอรถคันใหม่ของพวกเขากันนานถึง 12 ถึง 18 เดือน เรียกว่ารักแล้วต้องรอหน่อย โดยสาเหตุที่ทำให้มันมียอดจองท่วมท้นมาจากความน่าสนใจของตัวรถ ที่มาพร้อมความสวยงาม ขนาดเหมาะสม วิ่งได้ไกล และมีฟีเจอร์ความปลอดภัยเต็มขั้นในราคาที่น่าคบหา 

 

 

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2016 ผู้ผลิตรถไฟฟ้าสัญชาติอเมริกาได้เปิดตัว Tesla Model 3 รถซีดาน 4 ประตูทรง Fastback มาต่อยอดความสำเร็จจาก Model S กับ Model X รุ่นพี่ที่ทำยอดขายได้น่าประทับใจทั่วโลก โดยช่วงแรกที่เปิดให้จองรถ Model 3 ก็คว้ายอดไปได้ 325,000 คัน หลังจากนั้นเมื่อนับจนถึงเดือนสิงหาคมปี 2017 ยอดจองทั้งสิ้นอยู่ที่ 455,000 คัน หรือมีคนจองวันละ 1,800 คัน เรียกว่าสูงมากชนิดไม่มีใครเทียบได้ อย่างไรก็ตามการผลิตจริงของ Model 3 เริ่มกลางปีที่แล้วจนถึงสิ้นปีมันมียอดส่งมอบเพียง 1,772 คันเท่านั้น เรียกว่ายังห่างไกลกับยอดที่ลูกค้าจองมาทั้งหมด

 

 

หากเราเจาะรายละเอียดของ Tesla Model 3 จากจุดเริ่มต้น จะเห็นว่ารถคันนี้มีขนาดเล็กกว่า Model S ผู้พี่อยู่ราว 20% อีกทั้งมีการนำเทคโนโลยีทั้งหมดมาใส่ครบถ้วน ขณะเดียวกันรถคันนี้มีคู่แข่งหลักเป็น Mercedes-Benz C-Class, BMW Series 3 และ Audi A4 โดยมีจุดแข็งในการต่อกรกับรถแบรนด์ดังจากเยอรมัน ด้วยการนำเสนอ Model 3 ที่สามารถขับขี่ได้ไกล ราคาเหมาะสม และมีสมรรถนะดีเยี่ยม นอกจากนี้ทางผู้ผลิตได้ตั้งเป้าให้ Model 3 เป็นรถยนต์ที่สร้างเม็ดเงินหลักให้แก่บริษัท เพื่อนำไปต่อยอดพัฒนารถไฟฟ้ารุ่นใหม่ในอนาคต ทั้ง Roadster รวมถึงรถกระบะพลังถ่าน

 

 

รุ่นของ Model 3 จะมีให้เลือกอยู่ 2 แบบ โดยแบ่งตามระยะทางที่รถวิ่งได้ รุ่นปกติวิ่งได้ระยะสูงสุด 350 กิโลเมตร รุ่งเพิ่มระยะวิ่งได้ 500 กิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 5.6-5.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 210-225 กม./ชม. ส่วนการชาร์จไฟบ้านปกติใช้เวลา 6.30-8.30 ชั่วโมง แต่ถ้าชาร์จกับแท่นซุปเปอร์ชาร์จจะเพิ่มพลังไฟ 60% ให้ได้ในเวลา 30 นาที แล้วพลังไฟฟ้าทั้งหมดจะส่งสู่ล้อหลังเพื่อถีบให้มันพุ่งไปข้างหน้า ในส่วนของการรับประกันตัวรถจะอยู่ที่ 4 ปี 80,000 กม. ขณะที่แบตเตอรีรับประกััน 8 ปีเท่ากันทั้งสองรุ่น แต่รุ่นปกติจำกัดระยะใช้งานที่ 160,000 กม. รุ่นเพิ่มระยะทางสิ้นสุดที่ 190,000 กม. เมื่อใช้งานถึงระยะหรือเกินกว่า 8 ปี

จุดเด่นของรถคันนี้นอกจากประเด็นขุมพลังกับระยะทางในการวิ่งยังมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเรียบหรูน่าใช้งาน โดยกระจังหน้าจะไม่มีช่องดักอากาศเข้าเหมือนกับรถคันอื่นในเครือ ขณะเดียวกันล้อให้มาขนาด 18 นิ้ว แต่เจ้าของสามารถเลือกออปชั่นพิเศษที่เน้นความลู่ลมได้ ทั้งนี้ห้องโดยสารภายในที่มีการออกแบบมาอย่างเรียบง่ายให้นั่งได้ 5 คน นอกจากนี้แผงคอนโซลหน้าที่ไม่มีปุ่มควบคุมใดๆ เลย ทว่าแทนที่ด้วยหน้าจอทรงสี่เหลี่ยมพื้นผ้าขนาด 15.4 นิ้วติดตรงอยู่ตรงกลางระหว่างคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า ซึ่งการควบคุมระบบภายในรถทุกอย่างจะทำผ่านจอไซส์ยักษ์ดังกล่าว และอีกหนึ่งจุดเด่นของ Model 3 ก็คือหลังคากระจกบานโตที่มีโครงหลังคาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

 

สำหรับระบบความอำนวยความสะดวกทั้งหลายที่มีอยู่ใน Model S ก็ถูกยกมาใส่ไว้ใน Model 3 ทั้งหมด อาทิ ระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติ Autopilot ที่ในอนาคตจะถูกอัพเกรดไปจนสามารถขับขี่ได้เองเกือบ 100% รวมถึงระบบรักษารถให้อยู่ตรงช่องจราจร ระบบถอยจอดอัตโนมัติ และอื่นๆ ก็มีมาครบทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นทางผู้ผลิิตก็ได้วางแผนว่าจะเปิดตัว Model 3 รุ่นมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ใช้มอเตอร์ 2 ตัวมาใส่บริเวณด้านหน้าและหลัง โดยรายงานระบุว่ามันน่าจะเริ่มผลิตได้ช่วงกลางปี 2018 เป็นอย่างช้า

 

 

ใครที่รอคอยว่าจะสั่งนำเข้า Tesla Model 3 มาวิ่งเล่นในประเทศไทย เราขอบอกว่าคุณต้องรอจนกว่าผู้ผลิตจะเคลียยอดจองที่มีอยู่ล้นเหลือก่อน เพราะปีนี้พวกเขาจะเร่งผลิตให้ลูกค้าในสหรัฐฯ รวมถึงประเทศที่ขับรถพวงมาลัยซ้ายก่อน จากนั้นในปี 2019 จะถึงคิวลูกค้าในประเทศที่ขับรถพวงมาลัยขวา อาทิ อังกฤษ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และฮ่องกง ซึ่งเป็นไปได้ว่าเราคงเห็น Model 3 มาวิ่งบนท้องถนนของกรุงเทพฯ อย่างเร็วสุดก็ปลายปี 2019 หรือลากไปถึงปี 2020 เลยก็เป็นได้

 

 

ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com

 

 

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่